วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ขับเคลื่อน PLC ที่ สพป.3 มหาสารคาม_16 : เวทีครู "PLC คืออะไร แบบไหนคือ PBL"

วันที่ 11-13 กรกฎาคม 2556 ทีมขับเคลื่อน PLC มหาสารคาม จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ชุมรมเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ มีครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 3 จำนวน 138 ท่าน จาก 14 โรงเรียน บันทึกนี้เขียนต่อจากบันทึกแรกที่นี่ ที่ 2 ที่นี่ ที่ 3 ที่นี่ ที่ 4 ที่นี่ และที่ 5 ที่นี่ครับ
เช้าวันสุดท้าย เริ่มกันด้วยที่นั่งแบบ "วงกลมลานกลาง"  ผมจะได้อยู่จุดกลางวง ตรงที่จะรวมใจทุกคนได้ถนัด 
  • ผม ยิงคำถามแรกของวันทันที ว่า "งานเลี้ยงอาหารค่ำเมื่อวานนี้ เป็น PLC หรือไม่" แล้วเปิดโอกาสให้หลายคนได้เสนอความคิดเห็น ส่วนใหญ่เข้าใจว่า เป็น PLC เพราะมีหลายคนได้คุยกัน เพราะได้แบ่งปันความสนุก และได้มีความสุขผ่อนคลาย 
  • ผมยิงคำตอบทันทีว่า "ไม่ใช่ PLC" หากเมื่อคืนนี้ไม่มี
    • ตัว P คือคำว่า Professional หรือเกี่ยวกับเรื่องงาน เรื่องอาชีพ เรื่องปฏิบัติ นั่นคือเรื่องที่เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ครูหรือเรื่องเด็ก
    • ตัว L คือคำว่า Learning คือมีการแลกเปลี่ยนแล้วเกิดการเรียนรู้ และ
    • ตัว C คือคำว่า Community คือมีชุมชนนักปฏิบัติ ร่วมมือพบปะนัดคุย
  • โต๊ะกับข้าวโต๊ะใดที่มีครบ 3 ตัว ผมก็คิดว่าชัวร์เรียกได้ว่าเป็น PLC 
คำถามต่อไปคือ แบบไหนคือ PBL (ความจริงเคยเขียนบันทึกแล้วที่นี่) เราสื่อสารกับครู เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้สู่การเรียนรู้บนฐานปัญหา หรือที่เรียกว่า Problem-based Learning ด้วยนิทานเพลงหิ่งห้อย อ่านบันทึกรายละเอียดกิจกรรมที่นี่ครับ

หรืออาจจะดูบรรยากาศย้อนหลัง ได้ที่นี่ได้ครับ (หากท่านมีเวลา ขออภัยที่เสนอเวอร์ชั่นที่ยังไม่ได้ตัดต่อ)

จาก นั้นเราก็ได้เปิดโอกาสให้ 3 โรงเรียนได้นำเสนอ ผลงานจากเมื่อวาน (ต้องขออภัยอีกครั้งที่ไม่ได้เปิดให้นำเสนอทุกโรงเรียน เนื่องจากเวลาอันจำกัด) เพราะต้องเร่งรัดทำกิจกรรม AAR
กิจกรรม AAR ทำแบบประยุกต์ แต่ผลก็ยังสนุกตามคาดครับ 
  • เราวางกระดาษคลิปชาร์ทรายโรงเรียนไว้กลางวง 
  • ให้ทุกคนเขียน AAR อะไรที่สมหวังดังคาด BAR ไว้ก่อน ลงบนกระดาษ "โพสอิท"
  • แล้วให้ทุกคนออกไปเขียนข้อความสรุป โดยสรุปเป็นคำสั้นๆ จากฐานใจ อะไรที่ได้ในกิจกรรม 3 วันนี้
ผลสะท้อนเป็นดังรูปครับ โปรดพิจารณาเองเถิด
















เรา AAR กับทีมงานขับเคลื่อนฯ ว่า
  • เราได้ทำดีที่สุดแล้ว และได้บรรลุตามที่ได้หวังไว้แล้วทุกประการ
  • ขอขอบคุณทีมงานไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ



ขับเคลื่อน PLC ที่ สพป.3 มหาสารคาม_15 : เวทีครู "ระดมกัลยาณมิตร คิดแบบอริยสัจ"

วันที่ 11-13 กรกฎาคม 2556 ทีมขับเคลื่อน PLC มหาสารคาม จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ชุมรมเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ มีครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 3 จำนวน 138 ท่าน จาก 14 โรงเรียน บันทึกนี้เขียนต่อจากบันทึกแรกที่นี่ และบันทึกที่สองที่นี่ บันทึกที่ 3 ที่นี่ และบันทึกที่ 4 ที่นี่ครับ

หลัง จากทักทายพอให้ใจผ่อนคลาย และรวมใจรวมสมาธิตามสมควรแล้ว ผมบรรยายสรุปเหตุการณ์เมื่อวานโดยย่อ ก่อนจะประมวลสรุป ชี้ให้เห็นชุดความรู้ที่ครูจะสามารถนำไปใช้ได้แล้ว เราเริ่มกิจกรรมตอนเช้าด้วยการระดมความคิดของทั้งครูและผอ. โดยใช้กิจกรรม "กระดาษ 4 คอลัมน์นำคิด แบบอริยสัจ"
ก่อนเริ่มกิจกรรม ผมได้เล่าถึงผลการใช้ "กิจกรรมกระดาษ 4 พับ" ในการ "มองเด็ก" ของครูกลุ่มหนึ่ง และ ผลการใช้ "มองครู" (ครูกลุ่มเดียวกับที่มองเด็ก) ของผู้บริหารและศึกษานิเทศน์  โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ให้ได้ปัญหา (อ่านได้ที่นี่) โดยใช้คำถามว่า "คุณลักษณะของนักเรียนที่ครูยังไม่พอใจ มีอะไรบ้าง" โดยแบ่งระดับความไม่พอใจออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับพอรับได้พอทนได้  ระดับต้องแก้ไขด่วน และระดับที่ต้องแก้ไขด่วนที่สุด ได้ผลดังรูป








ผมชี้ให้ครูสังเกตจากสไลด์ข้างต้นว่า นักเรียนกับครู มีคุณลักษณะอันไม่พึงประสงค์คล้ายกัน เช่น
    • ระเบียบวินัย เช่น การแต่งกาย มาสาย ฯลฯ  แม้ว่าเราจะบอกไม่ได้ว่า ผอ. มองครูคนไหนและคงไม่ใช่ครูที่เป็นคนดูนักเรียนคนนั้น  แต่สะท้อนในภาพรวมได้บ้าง
    • ไม่รับผิดชอบ เช่น นักเรียนไม่มาเรียน หนีเรียน ครูไปธุระบ่อย ไม่มาสอน ฯลฯ
    •  ปัญหาคุณธรรม เช่น โกหก ไม่ซื่อสัตย์ ทะเลาะกัน เล่นการพนัน ฯลฯ
    • ฯลฯ
ก่อนจะเริ่มทำกิจกรรม "กระดาษ 4 พับ"  ใช้กระดาษ A4 คนละแผ่น พับตามขวางเป็น 4 คอลัมน์ แล้วนำให้ "คิดเดี่ยว" แล้วเติมลงในแต่ละคอลัมน์ ตามขั้นตอนดังนี้
  • คอลัมน์ที่ 2 เขียนปัญหา (ลิสท์) เกี่ยวกับนักเรียน ที่อยากแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ อย่างน้อย 3 ปัญหา โดยให้พิจารณาเรียงลำดับความสำคัญ จากมากไปหาน้อย.... คอลัมน์ที่ 2 นี้ควรจะเป็น "ทุกข์" ของครู
  • คอลัมน์ที่ 3 ให้เขียนสิ่งตรงข้ามกับ ข้อความ (ปัญหา) ที่เขียนไว้ในคอลัมน์ที่ 2......  นี่คือ "ความดับทุกข์" หรือเป้มหมายของครู
  • คอลัมน์ที่ 1 ให้เขียน  สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาแบบนั้นในคอลัน์ที่ 2 โดยเน้นให้มองแบบเชิงบวก คิดแบบสืบสาวสาเหตุปัจจัย
  • คอลัมน์ ที่ 4 นั้นยื่นให้เพื่อนต่อๆ กัน เพื่อให้เวียนเขียนวิธีการแก้ปัญหา หรืออาจเรียกว่า "มรรค" หรือหนทางปลดทุกข์  โดยส่งไปเรื่อยๆ พอประมาณ
กิจกรรมนำคิดแบบอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรจ และมรรค นี้ได้ผลดีพอสมควร แต่ถ้าหากจะให้ได้ครบถ้วน ต้องทำกิจกรรมให้ย้ำทวนมองตนเองและเปิดใจจริงๆ
หลังเบรคเช้า เราแบ่งกลุ่มตามโรงเรียน แล้วนำผลการแลกเปลี่ยนจาก "กระดาษ 4 พับ" ของครูแต่ละท่าน มาแบ่งปันและรวบรวมกันในโรงเรียน แล้วระดมความคิดลงบนกระดาษคลิปชาร์ท ก่อนประกาศนำเสนอในตอนบ่ายหลังรับประทานอาหารเที่ยง








ดูภาพได้ทั้งหมดที่นี่
หลังเบรคบ่าย เราลุยต่อด้วยกิจกรรม เชิงปฏิบัติกึ่งสำรวจแบบ "ดูนักเรียนรายบุคคล" บนฐานปัญหาซึ่งได้มาจากกิจกรรม "กระดาษ 4 พับ" ของแต่ละคนในโรงเรียน โดยใช้เทคนิคแบบแลกเปลี่ยนแบบ "กด Like" เพียงให้ครูแต่ละคนที่นั่งเป็นวงของโรงเรียน หมุนเวียนกันเขียน "*" (เครื่องหมายดอกจันทร์) ลงตรงประเด็นปัญหาที่ตนเองรู้สึกวา "Like"  .... กิจกรรมนี้เวิร์คครับ อาจเป็นเพราะ Facebook กำลังเป็นที่นิยม แล้วให้แต่ละโรงเรียนดำเนินการ ต่อดังนี้
  • เลือปัญหาที่มีผู้ "กด Like" มากที่สุด หรือทางโรงเรียนเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญที่สุดมา 3 ปัญหา
  • แล้วให้สำรวจว่าแต่ละปัญหานั้น มีนักเรียนที่เป็นหรือมีปัญหานั้นกี่คน จากจำนวนนักเรียนทั้งหมดกี่คน
  • โดยแนะให้ถามครูทีละท่าน ให้จินตนาการถึงเด็กรายบุคคล แล้วบันทึกลงในตาราง ได้ผลดังรูป













ผลการวิเคราะห์ละเอียดรายโรงเรียน จะเขียนในบันทึกต่างหากครับ

การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการศึกษา มาใช้พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21

บันทึกนี้ สรุป "กระบวนทัศน์" "กระบวนการ" ในการน้อมนำ ปศพพ. มาใช้ขับเคลื่อน ทักษะในศตวรรษที่ 21 ในพื้นที่อีสานตอนบน ซึ่งได้ "สรุปแทรก" (ไม่ใช่บรรยาย แต่เป็นเหมือนสรุป ไม่เหมือนสรุปเพราะพูดแทรกตอนโอกาสเหมาะสม) ในการดำเนินกิจกรรมขับเคลื่อน 3 เวทีดังนี้
  • วันที่ 17-18 กรกฎาคม 2556 ในเวทีขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการศึกษา (ปศพพ.พศ.) ที่เราจัดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผู้อำนวยการโรงเรียนและรองวิชาการฯ
  • เวทีวันที่ 25 กรกฎาคม 2556 เวทีขับเคลื่อน ปศพพ. พศ. เวทีรองวิชาการและครูแกนนำ ในโครงการเดียวกัน และ
  • เวที ขับเคลื่อนทักษะในศตวรรษที่ 21 สู่โรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ฯ (ร.ร.ศรร.ปศพพ.พศ.) ซึ่งเริ่มโรงเรียนแรกแล้วที่ ชุมชนห้วยค้อมิตรภาพที่ ๒๐๖ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา
ผมเคยเขียนเสนอไว้เมื่อครั้งไปขับเคลื่อนเรื่องนี้ที่โรงเรียนเทศบาลวัดป่าเรไร ร้อยเอ็ด (อ่านได้ที่นี่) และผมเองได้ "ฟัง" จากการสนทนาบนโต๊ะกับข้าวกับ อาจารย์ปิยาภรณ์  (ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล) อีกครั้ง เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี้เอง ว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการศึกษาจะพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ในบริบทไทย  นั่นทำให้ผมมั่นใจขึ้นที่จะเสนอเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนทักษะในศตวรรษ ที่ 21 ว่า

ผมเคยเขียนเสนอไว้เมื่อครั้งไปขับเคลื่อนเรื่องนี้ที่โรงเรียนเทศบาลวัดป่าเรไร ร้อยเอ็ด (อ่านได้ที่นี่) และผมเองได้ "ฟัง" จากการสนทนาบนโต๊ะกับข้าวกับ อาจารย์ปิยาภรณ์  (ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล) อีกครั้ง เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี้เอง ว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการศึกษาจะพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ในบริบทไทย  นั่นทำให้ผมมั่นใจขึ้นที่จะเสนอเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนทักษะในศตวรรษ ที่ 21 ว่า
ทักษะในศตวรรษที่ 21 + ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการศึกษา = ทักษะในอนาคตในบริบทของตน
วิธีการในการขับเคลื่อนฯ ที่ "สรุปแทรก"  (ไม่ได้แจกเอกสาร) มีดังนี้ครับ



ความจริงคือ "นักเรียนเปลี่ยน"  จากการลงพื้นที่อยู่กับครูในพื้นที่ ทำให้รู้ดีว่า ต่อไปนี้คือสิ่งที่เราส่วนใหญ่คิด

  • เข้าใจและรู้สึกว่า เนื้อหาที่ต้อง "สอน" มีมาก โดยพิจารณาง่ายๆ จาก "หลักสูตร" ที่เปลี่ยนไป
  • เข้าใจว่าผู้เรียนในสมัยนี้มี "สมาธิสั้น" กว่าแต่ก่อนมาก ทำให้เป็นอุปสรรค ลำบากใน "การสอน"
  • เห็นและยอมรับแล้วว่า เทคโนโลยีสื่อสารสนเทศเจริญรุดหน้าเร็ว แต่โดยมากจะมองมุม "เลว" ว่าเป็นสิ่งยั่วยุ ทำให้ผู้เรียน "สมาธิสั้น" มากกว่ามองมุม "ดี" แล้วก้าวเท่าทัน แล้วนำสิ่งนั้นๆ มาประยุกต์ใช้ใน "การเรียน"
  • มองว่าผู้เรียนคุณธรรมต่ำลง ไม่รักนวลสงวนตัว ไม่กลัวผู้ใหญ่ ไม่ให้ความเคารพ ไม่สุภาพ ฯลฯ
  • เห็นว่าผู้เรียนมีคุณภาพต่ำลง ความอดทนน้อย ไม่ขยันเรียน ไม่สู้งาน รักสบาย ทำอะไรไม่เป็น ฯลฯ
แต่ความจริงคือ
  • ความ รู้เพิ่มมากขึ้นมหาศาล ความรู้ใหม่งอกเร็วมโหฬาร ไม่มีทางที่ในช่วงชีวิตที่เดียวของมนุษย์จะสามารถเรียนรู้เนื้อหาความรู้ที่ มนุษย์ได้ค้นพบแล้วได้ทั้งหมด  มีครูบาร์อาจารย์ท่านเปรียบเทียบให้ฟังว่า แค่เพียงงานวิจัยในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ หากนำมาวางทับกันทันทีที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ กองจะสูงขึ้นด้วยความเร็วถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เราจะ "ส่งผ่าน" ถ่ายทอดความรู้นี้สู่ผู้เรียนได้ทัน
  • หากแหล่งเรียนรู้ของคนออกเป็น 2 ส่วนคือ จากภายใน และจากภายนอก แบ่งความรู้ออกเป็น 3 แบบตามที่อริสโตเติลกล่าวไว้คือ ข้อเท็จจริง (fact) ทักษะ (Skills) และ จิตวิญญาณหรือปัญญาญาณ (Spiritual) และแบ่งวิธีการเรียนเป็น 3 แบบ ได้แก่ รับรู้ เรียนรู้ และหยั่งรู้  เราสามารถอธิบายกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ได้ 3 แบบ ได้แก่
    • เรา"รับรู้" "ข้อเท็จจริง" จาก "ภายนอก" สู่ "ภายใน" เพื่อทำความเข้าใจด้วยการ "ฟัง/อ่าน"
    • เรา "รับรู้" "ข้อเท็จจริง" แล้ว "เรียนรู้" ด้วยการ "คิด" พิจารณาอย่างเป็นเหตุเป็นผล "ลงมือปฏิบัติ" ทดลองวิจัยจนเกิด ความเข้ารู้ความเข้าใจใน "ศาสตร์" ต่างๆ ตามมาเช่น ความคิดรวบยอด (Concept) ทฤษฎี (Theory) กฎ (Law) หลักการ (Principle)  เป็นต้น และเกิด "ทักษะ" ขึ้นกับตนเอง
    • เรา "หยั่งรู้" "ความจริง" และยกระดับจิตวิญญาณของตนเอง จาก "ภายใน" ขึ้นเองเมื่อเรา "ภาวนา" หรือเจริญสติ ฝึกสมาธิ สมถะวิปัสนา ตามแนวทางพุทธ  ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่สนใจของผู้นำทางความคิดจิตวิญญาณทั่วโลก 
คน ทั่วไปในที่นี้คือ ผู้เรียนเกือบทุกคน จะ "รับรู้" สิ่งต่างๆ จากภายนอกเข้ามาก่อนจะ "เรียนรู้" (เว้นแต่จะ "หยั่งรู้" เองจากภายใน) หรือเรียกว่า เราจะได้รับ "สิ่งเร้า" หรือ "สิ่งกระตุ้น" จาก "ภายนอก" ซึ่งคนในศตวรรษที่ 21 นี้ จะได้รับสิ่งเร้ามากกว่าคนในศตวรรษที่ 21  นี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ "สมาธิสั้น" กลายเป็นเรื่อง "ธรรมดา" ของคนในยุคนี้
  • เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทัน สมัย จะทำให้เราสามารถทำให้ผู้เรียน สามารถ รับรู้ เรียนรู้ ความรู้ที่จำเป็นในทักษะในศตวรรษที่ 21 ได้เท่าทัน ดังนั้น ครูต้องทันเท่าการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มองใน "มุมดี" และประยุกต์ใช้ในการ "สอน"
  • ผู้เรียนคุณภาพต่ำลง และคุณธรรมต่ำลง ล้วนแล้วแต่เป็น "ผล" ที่ต้องปลงเปิดใจยอมรับ แล้ว เปลี่ยนกระบวนทัศน์ ปรับกระบวนการ เพื่อสร้าง "เหตุ" ใหม่ ที่จะให้ผลดีขึ้นต่อไป 
หลายอย่างเปลี่ยน แต่บางอย่างไม่เคยเปลี่ยน


  • สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คือ "เรียนแบบ ถ่ายทอด ส่งผ่าน" ความรู้จากครูสู่นักเรียน
  • ยัง คงเน้น "เรียนเดี่ยว" ที่ครูคนเดียวยืนหน้าชั้น เด็กนั่งหันหลังประจันหน้าหาครู ผู้ "บอก สอน ป้อน สั่ง"  แม้จะพูดเสียงดังผ่านไมค์ เปลี่ยนจากห้องกลางป่าไพร สู่ห้องแอร์ติดโปรเจ็คเตอร์ก็ตาม
เปลี่ยนกระบวนทัศน์ 
 
กระบวน ทัศน์หรือแนวคิด ที่ทำจนเคยชินยึดติด ที่ครูไม่เน้นคิดแต่เน้นจำ ไม่เน้นทำแต่เน้นท่อง ไม่เน้นทดลองผิดถูก เน้นแต่ปลูกฝังเชื่อไว ไม่เน้นนำไปใช้ "เรียนชีวิต" แต่หลงติดแยกส่วน "เรียนวิชา"  "เน้นเนื้อหาไม่เน้นกระบวนการเรียนรู้" ครูนักเรียนเรียนเดี่ยวไม่ร่วมมือ  หลักสำคัญที่เราต้องยึดถือปฏิบัติ ในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์เหล่านี้คือ ปศพพ.พศ. ที่ต้อง เข้าใจ เข้าถึง แล้วจึงพัฒนา

กระบวน ทัศน์สำคัญที่สุดที่ต้องเปลี่ยนคือ "เรียนชีวิต ไม่ใช่เรียนวิชา"  โดยพิจารณา 3 อย่าง การพัฒนาการเรียนรู้ 3 ทางที่ต้องเชื่อมโยงสอดคล้องเข้าหากัน (อ่านบทสังเคราะห์เรื่อง 3 เชื่อมได้ที่นี่) ได้แก่ การเรียนการสอนในห้องเรียน กิจกรรมเสริมในโรงเรียนสิ่งแวดล้อม แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน และชีวิตจริงนอกโรงเรียน เหมือนสามห่วงที่เขียนให้ร้อยเรียงดันดังรูปข้างบน

ปรับกระบวนการ 
 
กระบวนการที่กำลังปรับเพื่อขับเคลื่อนฯ ในพื้นที่อีสาน ในช่วงปีนี้มี 5 ประเด็น ได้แก่
  1. ผู้อำนวยการใช้กระบวนการเชิงราบ หรือกระบวนการกลุ่ม ในการประชุมสื่อสาร และบริหารงานในโรงเรียน
  2. สำนักงานเขตฯ และศึกษานิเทศก์ เน้นช่วยเหลือและนิเทศแบบกัลยาณมิตร Coaching Mentoring Counseling แบบตามติดต่อเนื่อง
  3. ครูหันมาใช้จิตวิทยาเชิงบวก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เรียน
  4. เน้นกระบวนการเรียนรู้ มุ่งสู่ทักษะอนาคตในบริบทของตนเอง คือ ใช้หลัก ปศพพ.พศ. ในการขับเคลื่อนทักษะในศตวรรษที่ 21
  5. ผอ.และ ครู ทำงานเป็นทีม สร้างชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (Professional Learning Community)  หรือ PLC  (PLC_ผอ. PLC_ครู) ผู้เรียนเรียนเป็นทีม แบบมีความสุขสนุกที่ได้เรียน (Play and Learn Community) หรือ PLC_นักเรียน เรียนแบบ PBL

เป้าหมายการเรียนรู้  คือ เป็นผู้มีอุปนิสัยพอเพียง


เป้าหมายในการพัฒนาการเรียนรู้ คือ ผู้เรียนที่มีอุปนิสัยพอเพียงดังนี้
  • ปศพพ. คือ หลักคิด ดังนั้น ผู้มีอุปนิสัยพอเพียง คือผู้ที่ "คิดเป็น"
  • ปศพพ. คือ หลักปฏิบัติ ดังนั้น ผู้มีอุปนิสัยพอเพียง คือผู้ที่ "ทำเป็น" (นั่นคือ "แก้ปัญหาเป็น")
  • สรุปคือ ผู้มีอุปนิสัยพอเพียง คือผู้ที่คิดและทำตามหลัก ปศพพ. จนติดเป็นนิสัย
เมื่อคิดและทำตามหลัก ปศพพ. จะเกิดคุณลักษณะสำคัญกับผู้เรียน
  • มี ทักษะอนาคตในบริบทไทย ที่สำคัญคือ ๓ร. ๑ว. ที่เสนอโดยศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช ต่อมา ผอ.สุพจน์ จากโรงเรียนโพนทองวิทยายน เสนอเพิ่มเติมอีก ๑ว. จึงเป็น ๓ร. ๒ว. ดังนี้ 
    • มีแรงบันดาลใจในการเรียน เรียนอย่างมีความสุข สนุกที่ได้เรียนรู้ 
    • มีทักษะการเรียนรู้ ได้แก่ ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณอย่างมีคุณธรรม มีทักษะการปฏิบัติอย่างมีหลักวิชาการและคุณธรรม (เป็นผู้มีคุณธรรมพื้นฐาาน 8 ประการ ได้แก่ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี มีน้ำใจ)
    • มีทักษะการร่วมมือ หรือ ทักษะการทำงานเป็นทีม
    • มีวินัยในตนเอง และ
    • ภูมิในในวัฒนธรรม
  • คิดก่อนทำ ทำอย่างระวังและรอบคอบ ตรวจสอบประเมินตน ฝึกฝนปฏิบัติพัฒนาให้ยั่งยืน 
ในตำราชาวตะวันตก ได้เสนอแนวทางในการปฏิรูปการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ไว้ดังรูปด้านล่าง (ผู้สนใจสืบค้นได้ไม่ยาก โดยใช้คำสำคัญ "วิถีการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21")


 คุณลักษณะที่ควรจะมี สำหรับโรงเรียนที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ร.ร.ศรร.ปศพพ.)

จะ เป็น ร.ร.ศรร.ปศพพ. ต้องผ่านการประเมิน "การประเมินเป็น ร.ร.ศรร.ปศพพ." แตกต่างจากการประเมินทั่วไป ความโดนนัยที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ใช่การประเมินเพื่อให้ผ่านตามเกณฑ์ แต่เป็นการประเมินเพื่อ "ยืนยัน" ว่าพร้อมจะเป็นโรงเรียนหลักในการขับเคลื่อนขยายผล ปศพพ.พศ. ต่อไป
คุณลักษณะสำคัญของ ร.ร.ศรร.ปศพพ. ที่สำคัญ ควรมีดังนี้
  • เข้าใจเกณฑ์ก้าวหน้า (เกณฑ์ 3-4-5) ถึงระดับ "คุ้มค่า" ถึง "คุณค่า"  
  • เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ได้ถึงคำว่า "เรียนชีวิต ไม่ใช่เรียนวิชา"
  • อย่างน้อยครูและนักเรียนแกนนำ คิดและทำในระดับคุณธรรมระดับ 6 ของ Lawrence Kohlberg




วิธีการในการขับเคลื่อนทักษะอนาคตในบริบทไทย 

เสนอ ให้แบ่งพิจารณาเป็น 3 ขั้นตอน หรือ 3 ระดับ โดยต้องพิจารณาให้ถึงระดับ "นักเรียนรายบุคคล" และแต่ละขั้น แม้ครูจะต้องมองในลักษณะขั้นบันได แต่ต้องไม่ให้แยกส่วนแยกซอย ต้องเรียงร้อยแต่ละขั้นจะเสริมความก้าวหน้า เป็นฐานพัฒนาของขั้นถัดๆ ไป เริ่มตั้งแต่ "คิดเป็น" "ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น" จนผู้เรียนสามารถ "เรียนรู้เองเป็น"  วิธีการนี้เรียกว่า หลักสูตรพัฒนาแบบ 3PBL  
แน่อนว่า ทักษะที่สำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องมีคือ "อ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น" ตามมาตรฐานของ สพฐ. ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนให้ครูทุกคนเคร่งครัดอยู่แล้ว ดังนั้นหลักสูตร 3PBL จึงไม่ใช่เป้าหมายอะไรใหม่และไม่ใช่มาเสริม  แต่เป็นเพียงการเสนอ "วิธีมองและพิจารณาการพัฒนาการเรียนรู้ให้ง่าย บอกจุดตรวจเช็คประเมินผลลัพธ์ที่ตัวนักเรียน และเสนอบทบาทที่สำคัญของครูและนักเรียน"  
 

บันทึกนี้เขียนต่อจากบันทึก "กระบวนทัศน์ และกระบวนการ ในการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการศึกษา มาพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21" อ่านที่นี่ครับ
วิธีการในการขับเคลื่อนทักษะอนาคตในบริบทไทย
เสนอ ให้แบ่งพิจารณาเป็น 3 ขั้นตอน หรือ 3 ระดับ โดยต้องพิจารณาให้ถึงระดับ "นักเรียนรายบุคคล" และแต่ละขั้น แม้ครูจะต้องมองในลักษณะขั้นบันได แต่ต้องไม่ให้แยกส่วนแยกซอย ต้องเรียงร้อยแต่ละขั้นจะเสริมความก้าวหน้า เป็นฐานพัฒนาของขั้นถัดๆ ไป เริ่มตั้งแต่ "คิดเป็น" "ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น" จนผู้เรียนสามารถ "เรียนรู้เองเป็น"  วิธีการนี้เรียกว่า หลักสูตรพัฒนาแบบ 3PBL  
แน่อนว่า ทักษะที่สำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องมีคือ "อ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น" ตามมาตรฐานของ สพฐ. ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนให้ครูทุกคนเคร่งครัดอยู่แล้ว ดังนั้นหลักสูตร 3PBL จึงไม่ใช่เป้าหมายอะไรใหม่และไม่ใช่มาเสริม  แต่เป็นเพียงการเสนอ "วิธีมองและพิจารณาการพัฒนาการเรียนรู้ให้ง่าย บอกจุดตรวจเช็คประเมินผลลัพธ์ที่ตัวนักเรียน และเสนอบทบาทที่สำคัญของครูและนักเรียน" 


ขั้นที่ 1 ฝึกคิด
  • หลักการสำคัญคือหลักของ "เหตุและผล" (อ่านได้ที่นี่) เมื่อเราอยากให้นักเรียนเก่งเรื่องคิด คิดเป็น เราต้องทำให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด"  วิธีกการทำให้นักเรียนได้ฝึกคิด ครูต้องเปลี่ยนมา "ตั้งคำถาม" แทนวิธีการ "บอก ป้อน สั่ง" 
  • เครื่องมือสำคัญที่ต้องทำให้มาก คือ การอภิปราย โต้เถียงด้วยเหตุและผล  หรือที่นิยมเรียกว่า "ถอดบทเรียน" หรือถอดประสบการณ์
  • บทบาทที่สำคัญของครู ไม่เพียงแต่ "ตั้งคำถาม" แต่ต้อง "สะท้อน" (Reflect) คอมเมนต์ผลลัพธ์ กลับไปยังผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง
  • ครู เป็นผู้คิดสร้างใบงาน หรือ ใบคำถาม หรือแบบฟอร์ม หรือ รูปแบบ (Pattern) ต่างๆ ให้นักเรียนได้ฝึกคิด เช่น กิจกรรม "กระดาษ 4 พับ" ใช้สื่อที่นักเรียนสนใจ แล้วค่อยให้ถอดบทเรียน
  • เราเรียกการออกแบบในลักษณะนี้ว่า "การเรียนรู้ในรูปแบบ" (Pattern-based Learning)
  • ผล ที่เกิดกับนักเรียนเมื่อเขาคิดเป็น ครูจะเห็นความกล้าคิด กล้าพูด เพราะว่าเขามั่นใจในตนเอง ที่เขามั่นใจในตนเองเพราะพวกเขาภูมิใจในตนเอง ที่ภูมิใจในตนเองเพราะพวกเขารูว่าตนเองรู้และถนัดเก่งเรื่องอะไร และที่เป็นเช่นนั้นได้ ก็เพราะว่าพวกคิดได้คิดเป็นนั่นเอง
  • บทบาทที่สำคัญของครูในขั้นตอนนี้ คือเป็น ผู้กระตุ้นพาให้คิด "ครูฝึกคิด" (Coach)
  • นักเรียนจะได้ฝึกคิดตาม "หลักคิด ปศศพ." สามารถตีความสื่อต่างๆ ตามหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข 4 มิติได้
    • คิดวิเคราะห์ก่อนให้รู้ชัดว่า สิ่งนั้นคืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง กำลังจะทำอะไร
    • เปรียบเทียบ เทียบเคียง ให้เข้าใจบทบาทและความสำเคัญ ตลอดทั้งความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของสิ่งนั้นๆ 
    • จัดหมวดหมู่ สังเคราะห์หลักการ ใช้หลักวิชาการที่สอดคล้อง เพื่อพิจารณาอย่างเป็นเหตุเป็นผล
    • ยึดเหตุผลบนพื้นฐานของความเป็นจริง และความเป็นธรรม
    • พิจารณาว่าสิ่งที่จะทำนั้นถูกหรือไม่ถูก ดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร เหมาะสมหรือไม่
    • ก่อนจะตัดสินใจให้ พอประมาณกับตนเอง

ขั้นที่ 2 ฝึกทำ
  • หลักสำคัญคือ การเรียนรู้จากการปฏิบัติ นักเรียนได้ลงมือทำจริง โดยเน้นให้นักเรียนได้ "ฝึกคิดแก้ปัญหา"  ที่ครูเป็นคนกำหนด หรือร่วมกันกำหนดขึ้นมา
  • ครู จะเป็นผู้ออกแบบโครงการ (Project) หรือเปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการออกแบบโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียน เช่น กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี กิจกรรมวันสำคัญทางศาสนา กิจกรรมส่งเสริมการเรียนต่างๆ คำถามสำคัญสำหรับครูผู้ออกแบบคือ
    • ต้องการให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะใด จากโครงการ/กิจกรรม/ฐานการเรียนรู้ นั้น 
    • นักเรียนจะได้เรียนรู้อย่างไรในโครงการ/กิจกรรม/ฐานการเรียนรู้นั้น นักเรียนจะเกิดทักษะนั้นในขั้นตอนใด
    • จะรู้ได้อย่างไรว่า ทักษะที่ต้องการนั้นเกิดหรือไม่ ทำอย่างไร นักเรียนจะได้สะท้อนตรวจสอบประเมินตนเองเกี่ยวกับทักษะนั้นๆ
    • นักเรียนจะได้ฝึกบูรณาการความรู้และทักษะกับชีวิตและการเรียนการสอนในห้องเรียนอย่างไร
    วิธีการสำคัญคือ การฝึกการทำงานแบบ PDCA (Plan Do Check Act) ตามวงจรคุณภาพของ Deming
  • ผล ที่จะเกิดกับนักเรียนเมื่อได้ "ฝึกทำ ฝึกแก้ปัญหา" คือทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการลงมือทำและการแก้ปัญหา ทักษะชีวิตด้านการทำงานอย่างมีระบบแบบแผน (PDCA)  ทักษะความร่วมมือหรือทำงานเป็นทีม ทักษะการสื่อสารและไอซีที
  • เครื่อง มือสำคัญในขั้นนี้คือ การ "ถอดบทเรียน"หรือ (AAR After Action Review) การทำ BAR (Before Action Review) การจัดการความรู้ KM การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่องประสบการณ์ของความสำเร็จ (Success Story Telling) หรือ SST ฯลฯ
  • บทบาทสำคัญของครูจะต้องเน้นทั้งเป็น ครูฝึก (Coach) เป็นทั้งพี่เลี้ยง (Mentor) และเป็นทั้งหมอใจให้คำปรึกษา (Counseling)  แตกต่างกันไปตามแต่เหตุปัจจัย สถานการณ์ และประสบการของผู้เรียนแต่ละคน อ่านหลักการ CMC ได้ที่นี่ครับ
  • นักเรียนจะได้ฝึกนำ ปศพพ. ไปใช้ในชีวิตในกิจกรรม คือ สามารถถอดบทเรียนผลการปฏิบัติ ตามหลักปฎิบัติแบบ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข 4 มิติได้
    • ก่อนจะทำคิดพิจารณาว่า ความรู้ที่ต้องใช้มีอะไรบ้าง
    • เรามีความรู้ประสบการณ์เพียงพอ มั่นใจหรือไม่
    • หากไม่ จะสืบค้นหาความรู้หลักวิชานั้นมาอย่างไร คือ Review ทบทวนอย่างไร
    • มีใครทำสำเร็จ เป็นแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) เรื่องนั้นไม่ เขาทำอย่างไร ปัจจัยของความสำเร็จของเราคืออะไร
    • เหตุผลที่เรามี ดีและถูกต้องหรือไม่
    • วิธีการที่เราจะทำถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ คิดก่อน วางแผนก่อน
    • พอประมาณกับศักยภาพของเรา กับเวลาที่เรามี กับความดีหรือกำลังทรัพย์ของเราหรือไม่
    • ตรงไหนที่น่าจะเป็นปัญหา จัดการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
    • จะวัดผล ประเมินผลอย่างไร ถึงจะรู้ว่าบรรลุได้ตามที่คาดหวัง
    • ผลที่เกิดขึ้นจะดีต่อเราอย่างไร จะดีต่อผู้อื่นหรือไม่ จะดีต่อใคร จะมีผลอย่างไรใน 4 มิติ

ขั้นที่ 3 ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเอง
  • หลัก สำคัญคือ นักเรียนเป็นผู้คิดทำทั้งหมดทุกขั้นตอน ตั้งแต่ ตั้งปัญหาเอง ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ตั้งสมมติฐาน ออกแบบการตรวจสอบสมมติฐานนั้น ทำการทดลองพิสูจน์เรียนรู้ และเป็นผู้นำเสนอหรือเผยแพร่
  • ครูมี บทบามเน้นเป็น "ผู้อำนวย" (Facilitator) อำนวยให้เกิดการเรียนรู้ เป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ดูอยู่ห่างๆ เพื่อกำกับทิศทาง และให้คำปรึกษาเมื่อจำเป็น
  • กระบวนการเรียนรู้ที่ดี และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในขั้นนี้ คือ การเรียนรู้บนฐานปัญหา (Problem-based Learning) หรือ PBL อ่านแนวทางการเรียนการสอนแบบ PBL ที่ดีได้ที่นี่  
  • การเรียนรู้ด้วยตนเอง จะช่วยเสริม "แรงบันดาลใจ" ในการเรียนรู้ให้กับตนได้เอง
  • นักเรียนจะได้ฝึกฝนตนเอง โดยการคิดและทำ บนหลัก ปศพพ.  สู่การเป็น "คนพอเพียง" ที่ ดี เก่ง และมีความสุขในการดำเนินชีวิต
  • การฝึกให้นักเรียน "พึ่งตนเอง" ด้วยการฝึกให้ "เรียนรู้ด้วยตนเอง" ถือเป็น ภูมิคุ้มกันที่ดี ในศตวรรษใหม่นี้นั่นเอง


ท้าย บันทึกนี้ อยากเสนอให้ครูทุกคน ใช้ 3PBL  ชวนให้ทำ พาให้ทำ ทำให้ดู อยู่เป็นกัลยาณมิตร ให้พวกเขาได้เรียนรู้พัฒนาชีวิตด้วยการ "สั่งสมความดี" (อ่านทฤษฎีการสั่งสมได้ที่นี่)




วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ขับเคลื่อน PLC ที่ สพป.3 มหาสารคาม_14 : เวทีครู "ดูธรรมชาติการเรียนรู้"

วันที่ 13-14 กรกฎาคม 2556 ทีมขับเคลื่อน PLC มหาสารคาม จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ชุมรมเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ มีครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 3 จำนวน 138 ท่าน จาก 14 โรงเรียน บันทึกนี้เขียนต่อจากบันทึกแรกที่นี่ และบันทึกที่สองที่นี่ และบันทึกที่ 3 ที่นี่ครับ
หลัง จากรับประทานอาหารเย็น  เราจัดสถานที่เป็น "วงกลมลานกลาง" เคลื่อนย้ายโต๊ะออกให้มีที่ว่าง สำหรับกิจกรรมกึ่งจิตศึกษา พัฒนาภายในเป็นหลัก  แล้วเริ่มด้วยการให้เดิน .....


  • ผม บอกครูให้เดินด้วยความเร็วที่พอดี พอประมาณ เหมือนการเดินเล่นพักผ่อน ตอนเย็นในสวนสาธารณะ  เพียงแค่เริ่มเดิน เสียงทักทายพูดคุยแบบผ่อนคลาย ทำให้ทุกคนเริ่มเพลินพอสมควร
  • สักครู่ ให้สัญญาณหยุด แล้วก็เชิญให้พูดคุยกับเพื่อนที่อยู่ใกล้ที่สุด สักครูแล้วก็เดินต่อไป
  • คราว นี้ให้เดินไปหาคนที่ตนไว้ใจและวางใจที่สุด เพื่อนสนิท จับคู่ยืนหันหน้าหามิตรแท้คนนั้น  แล้วเราก็เริ่มกิจกรรมทดสอบ "ความไว้ใจ" ด้วยการ "หลับตา ล้มตัวทั้งยืน โดยให้เพื่อนยืนรับอยู่ด้านหลัง"  โดยคนที่ล้มต้องเกร็งตัวแข็งเป็นแท่งดินสอน เข่าไม่งอ เท้าชิด  หากใครขยับท้าวออกก่อนถูกจับ แสดงว่ายังไม่ไว้ใจคู่ที่คอยรับเพียงพอ .... กิจกรรมนี้มุ่งให้ รู้สึกถึงความไว้ใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีในการทำงานเป็นทีม

  • แล้วสักครู่ ก็พาเดินต่อ เดินไปแบบไร้จุดหมาย เดินไปแบบผ่อนคลาย วางใจ ก่อนจะให้จับคู่ทำกิจกรรม "เมื่อดอกไม้บาน"
  • เหมือน ดอกไม้กำลังบานกลีบดอกออกจากกัน  ครูแต่ละคนเป็นเหมือนกลีบดอก ที่ค่อยๆ บานออกด้วยการจับมือกันยืดแขนให้ตัวออกห่างกัน โดยขณะนั้นท้าวต้องชิดติดเหมือนตอนเริ่มที่ยืนปลายเท้าชิดกัน 
  • จาก นั้นก็เดินต่อ คราวนี้จับกลุ่ม 3 คน ทำเหมือน ดอกไม้ 1 ช่อดอก 3 กลีบ  จากนั้นเป็น  5 คน 5 กลีบดอก ต่อไปก็จับ 8 คน ก่อนจะหยุดแล้วให้บางคนลองสะท้อนกิจกรรม .....  ความจริงเราแค่อยากให้ยืดเส้นยืดสาย หลังจากที่ได้อิ่มข้าวมาจากมื้อเย็น


  • การให้ยืดเส้นยืดสาย หลังจากที่ได้อิ่มข้าวมาจากมื้อเย็น เห็นผลพอสมควร ครูตื่นตัว ผ่อนคลาย พร้อมเรียนรู้
  • ประเด็นสำคัญ คือ เราอยากให้ครู "เห็น" กระบวนการ การออกแบบกิจกรรม และหวังให้ครู นำกลับไปทำกับเด็กๆ ที่โรงเรียน
  • กิจกรรม การเรียนรู้ ไม่ใช่เฉพาะนั่งอยู่กับที่ กับเก้าอี้ที่หลังโต๊ะเรียน แล้วก็ขีดเขียน ฟังอ่าน ทำการบ้าน หรือเรียนผ่านสื่อการสอนเท่านั้น แต่ต้องได้ใช้ทั้ง ฐานกาย ฐานคิด และ ฐานใจ เหมือนกับที่เราฝึกให้ ความไว้ใจ ฝึกทำให้ใจผ่อนคลายให้พร้อมเรียนรู้ ดังกิจกรรมที่ "ครูเป็นดอกไม้บาน"
เมื่อครูพร้อมจะเรียนรับ ผมก็จับไมค์แทรกบรรยายเกี่ยวกับ BBL ด้วยกิจกรรมประเภท "จีบ" "แอว" ทันที ดังนี้ครับ
  • วิธี การฝึกสมองวันนั้น เป็นการแบ่งปันกันแบบพาทำ แต่วันนี้ขอนำสิ่งดีๆ เหล่านั้นมาให้ดูผ่าน คลิป Brain Gym ของเว็บไซต์หมอชาวบ้าน ด้านล่างครับ

  • หลัง จากฝึก จีบแอล นับเลขด้วยมือ สลับมือแตะหู ฯลฯ  ผมแทรกด้วยทฤษฎี Brain Based Learning หรือ การจัดการเรียนรู้บนฐานสมอง ด้วยรูปด้านล่าง 

  • ผมเล่าให้ครูฟัง เกี่ยวกับผลการวิจัยของบริษัทเอกชน เจ้าของนมผงชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่กล้าเสนออย่างกล้าหาญว่า คนเราใช้ศักยภาพของสมองเพียง 1 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด สิ่งที่ยังขาดมากๆ คือ การใช้สมองสองซีกประสานงานกัน ไม่ใช่ใช้ซ้ายที ขวาที ดังนั้นการที่ครูรู้ว่า สมองส่วนใด ใช้เมื่อไหร่ กับกิจกรรมใด จะทำให้การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนได้"คมกริบ"
  • พิจารณาเป็น คู่ๆ ของสิ่งซีกซ้าย-ซีกขวาทำ เพื่อให้ง่ายต่อการจำ ได้ดังนี้  คำ-สี (ภาษา-ศิลปะ) ตรรกะ-จังหวะ (เหตุผล-ดนตรี) ตัวเลข-สัญลักษณ์ (คำนวณ-ใคร่ครวญ) แยะแยะ-เชื่อมโยง (วิเคราะห์-สังเคราะห์) แยกส่วน-องค์รวม (วิเคราะห์-องค์รวม) ในกรอบ-นอกกรอบ (รอบคอบ-สร้างสรรค์)  ประสบการณ์-จินตนาการ (อดีต-อนาคต) ฯลฯ
  • ผมยังเล่าเรื่องสมอง 3 ชั้น กับปัญญา 3 ฐาน ให้ครูฟังอีกว่า เราอาจแบ่งสมองได้เป็น 3 ชั้น แบ่งที่มาของปัญญา ว่าได้มาจาก 3 ฐาน  เราเรียกสั้นๆ ว่า "สมอง 3 ชั้น" กับ "ปัญญา 3 ฐาน" 
  • สมองชั้นใน ทำให้อยู่รอด กิน ขี้ ปี้ (ผสมพันธุ์) นอน สัญชาตญาณ  สมองชั้นนี้ แม้แต่ "ตะกวด" ก็มี  ศ.นพ.ประเวศ วะสี ท่านเรียกว่า "สมองตะกวด"
  • สมองชั้นกลาง (บริเวณสีเทา) ทำงานด้านรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก รัก ชอบ เกลียด
    สมองชั้นนี้เจริญดีในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตั้งแต่แมว หมา จนมาถึง "คน" หมอประเวศเรียกสมองส่วนนี้ว่า "สมองแมว"
  • สมอง ชั้นนอก ทำหน้าที่บ่งบอกความเป็น "มนุษย์" เรียนรู้ คุณธรรม ความดี ศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม เป็นส่วนสมองที่มีเฉพาะมนุษย์ หมอท่านจึงเรียกว่า "สมองมนุษย์"



  • ธรรมชาติ ของการเรียนรู้ให้เกิดปัญญา มาได้จาก 3 ทาง หรือ 3 ฐาน ได้แก่ ฐานกาย หมายถึง "ฟัง/อ่าน" ผ่านเครื่องมือทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย (สุตมยปัญญา) ฐานคิด ที่จิตทำงานผ่านสมอง เป็นปัญญาที่ได้จากการคิด พิจารณาอย่างเป็นเหตุเป็นผล หรือเรียกว่าคิดอย่างมีวิจารญาณ (จินตมยปัญญา) และ "ฐานใจ" ที่จะเข้าใจก็ต้องผ่านการลงมือปฏิบัติภาวนา (ภาวนามยปัญญา) 
เรา "จบวัน" ด้วยกิจกรรม "scan body"  กิจกรรมทำสมาธินำใจกลับสู่กาย ซึ่งเป็นเหตุเบื้องต้นของการที่คนจะ "ตื่น" ขึ้นมาได้  ซึ่งรายละเอียดอธิบายมาก ไม่น่าจะเข้าใจได้จากการอ่านจากตัวเขียน  จึงขออนุญาตนำเรียนด้วยคลิปวันหลังนะครับ