วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๓๓ : โรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี สู่โรงเรียนวิถีพุทธ

วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ผมไปเป็นวิทยากรขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ณ โรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี  ตามคำเชิญของ ผอ.ดารณี ท่านกำลังขับเคลื่อนฯ โรงเรียนสู่โรงเรียนวิถีพุทธ ผมเตรียมตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่นาน ก็มั่นใจที่จะทำงานนี้ได้  เหมือนกับที่ ผอ. ท่านให้โอกาส ผมตีความว่าสิ่งที่ผมขับเคลื่อนฯ ผ่านมานั้นมีรากฐานเดียวกัน...

จากการอ่านและตีคววาม ผมสรุปว่า โรงเรียนวิถีพุทธคือโรงเรียนใดๆ ที่นำเอาหลักพุทธธรรม โดยเฉพาะไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) มาใช้ในทุกๆ ด้านในโรงเรียนทั้งบริหารจัดการ การจัดการเรียนการสอน และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งในและนอกโรงเรียน

หลักธรรมสำคัญที่ผู้บริหารและครูทุกคนต้องรู้คือ
  • สัปปายะ ๗ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อ
  • ปัญญาวุฒิธรรม ๔ เพื่อสร้างกัลยาณมิตร ฝึกคิดอย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) และ ปฏิบัติธรรม
  • ภาวนา ๔ เพื่อเป็นแนววิถีในการ "พาเด็กทำ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น" 
  • ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

จากการสนทนาและศึกษาข้อมูลฑุติยภูมิ ดูเหมือนว่าบุคลากรด้านการศึกษาในโรงเรียน จะชินกับการกระบวนทัศน์การขับเคลื่อนด้วยวิธี "สร้างเกณฑ์" และ "ประเมินตามเกณฑ์" ของ สพฐ.  สังเกตจากแนวทางการขับเคลื่อนฯ ที่เริ่มต้นจากการเอา "เกณฑ์" ๒๙ ตัวชี้วัด มาจัดแบ่งมอบหมายเป็นหน้าที่และวิถีในการปฏิบัติ .... ผมตีความว่าวิธีการขับเคลื่อนแบบนี้ ก็ไม่เสียหายใดๆ  หากแต่ต้องทำให้ผู้บริหารและครูทุกคนเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงและความเชื่อมโยงของเกณฑ์แต่ละข้อกับชีวิต "วิถีพุทธ" จริงๆ ...  ผมตีความว่า นี่คือหน้าที่ของผมในการเป็น "วิทยากร" ในวันนั้น

เกณฑ์ ๒๙ ตัวชี้วัด สู่โรงเรียนวิถีพุทธ

เกณฑ์ทั้งหมด ๒๙ ตัวชี้วัด แบ่งเป็น ๕ ด้าน ได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านพฤติกรรมครูและนักเรียน ด้านการเรียนการสอน ด้านกิจกรรมวันพระ และด้านกิจกรรมเสริมวิถีพุทธ  แต่ละด้านมีเกณฑ์ย่อยๆ แตกออกไป ดังแผนผังด้านล่าง  ซึ่งคัดลอกจากผลการสังเคราะห์จากโรงเรียนวิถีพุทธ ๑๐๐ แห่ง ที่ทางโครงการฯ นำออกเผยแพร่เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนโรงเรียนวิถีพุทธ (คลิกที่นี่)






หากมองใหม่ ในแว่นของ "เหตุ" และ "ผล" ผมตีความว่าสมมติฐานของการขับเคลื่อนฯ  ที่สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้สำคัญๆ ที่ถือเป็น "เหตุ" ที่จะทำให้ "ผล" เป็นคนดี น่าจะมี ๕ ประการดังนี้
  • การมีความรู้เรื่องธรรมะ มีผลต่อการเป็นคนดี (มีความรู้ทางธรรม -> สอบนักธรรมตรี)
  • สิ่งแวดล้อมดีมีส่วนในการปลูกฝังให้นักเรียนเป็นคนดี (สิ่งแวดล้อมดี)
  • ผู้บริหารและครูดีมีส่วนทำให้นักเรียนเป็นคนดี (อยู่ใกล้คนดี)
  • ถ้านักเรียนมีกิจวัตร และได้ปฏิบัติกิจกรรมที่ดี จะทำให้นักเรียนเป็นคนดี (ทำดี, กินอยู่ดูฟังดี)
  • หากนักเรียนได้ระลึกและสะท้อนถึงผลของการทำความดีบ่อยๆ นักเรียนจะเป็นคนดี  (ระลึกดี คิดดี)
  • หากมีผู้ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ (พระ) มาสอนและตอบข้อสงสัย จะทำให้นักเรียนเป็นคนดี
คำว่า "คนดี" ในที่นี้คือคนที่มีคุณลักษณะดังต่อไปนี้
  • มีศีล ๕
  • มารยาทงาม -> ไหว้สวย กราบงาม รับประทานอาหารไม่ดัง ไม่หก ไม่เหลือ
  • ประหยัด มัธยัสถ์ -> ประหยัด ออม ถนอมใช้เงินและสิ่งของ
  • มีน้ำใจ -> ยิ้มง่าย ไม่ดุด่า 
  • มีนิสัยใฝ่เรียนรู้



ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของโรงเรียนวิถีพุทธ

การศึกษาข้อมูลจากเว็บไซต์ขอโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ (คลิกที่นี่)  ผมพบว่า ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธนั้น มีขอบเขตกว้างขวางและลึกซึ้งกว่า "เกณฑ์ ๒๙ ตัวชี้วัด" ที่กล่าวมาพอสมควร ดังจะขอตีความเป็นข้อๆ ตามหลักการขับเคลื่อนของโครงการ ต่อไปนี้

ผลลัพธ์ที่แท้จริงของโครงการฯ คือ การปลูกฝังบ่มเพาะให้นักเรียนเป็น "คนดี" ในที่นี้คือคนดีวิถีพุทธ นั่นคือ คนที่มี "ศีล สมาธิ และปัญญา"  ซึ่งทางผู้บุกเบิกนำเสนอไว้ที่ www.vitheebuddha.com/files/download/vitheebud.ppt ดังนี้

 



ผมพิจาณาว่า "เกณฑ์ ๒๙ ข้อ" ส่งเสริมให้เกิดเพียง "ศีล" และประเมินได้เฉพาะบางมิติของ "ศีล" และ "สมาธิ" เท่านั้น ในด้าน "ปัญญา" การขับเคลื่อนฯ ตามเกณฑ์ธรรมดา หรือที่รู้กันอยู่ว่า "ขับเคลื่อนเพื่อประเมิน" นั้น ไม่สามารถจะทำให้เกิดผลลัพธ์ขึ้นได้ครบถ้วน

อย่างไรก็ดี ผมคิดว่า เกณ์นี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ สำหรับการปลูกฝังและบ่มเพาะลูกหลานให้สั่งสมบุญซึ่งจะเป็นทุนให้พวกเขาค่อยเข้าใจว่า พระพทธศาสนาสอนอะไร การเป็นพุทธศาสนิกชนจะต้องทำตนหรือฝึกฝนให้เป็นคนอย่างไร...ขอบูชาและอนุโมทนาบุญกับท่านที่บุกเบิกและทำโครงการนี้ครับ ...

การขับเคลื่อนโรงเรียนวิถีพุทธที่ถูกวิธี

ต่อไปนี้เป็นเพียงความเห็นความคิด จากประสบการณ์ชีวิตของผมเท่านั้นนะครับ  ผมเสนอว่า การขับเคลื่อนควรจะคำนึงถึงจุดเริ่มต้นหรือปัจจัยที่จำเป็นต่อไปนี้
  • ผู้บริหารและครู รู้และเข้าใจ นำไปปฏิบัติ ชัดเจนอธิบายได้ และขยายผลโดยทำตนเป็นแบบอย่าง
  • สร้างกิจวัตรและข้อปฏิบัติที่ดีอย่างมีความหมาย  เน้นว่าอย่างมีความหมาาย คือ อย่างเข้าใจความหมาย 
  • เน้นการ "ถอดบทเรียน" หรือ "สะท้อนการเรียนรู้ เพราะปัญญาจะเกิดขึ้นจากการฝึกคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล  ครูเน้นการ "ตั้งคำถาม"
  • บ่อยซ้ำ ย้ำทวน ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ยาวนาน .... เพราะสิ่งนี้เกิดจากการ "ปลูกฝัง" ไม่ใช่การถ่ายทอด จำเป็นต้อง "บ่มเพาะ" เพราะเป็นเรื่อง "กรรมและผลของกรรม"

ในการฝึกอบรมครั้งนี้ ผมใช้วิธีชวนคุย และอภิปรายกันในประเด็นต่างๆ เพื่อให้ผู้บริหารและครูรู้และเข้าใจ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา (อันหลังวิเคราะห์ตามตำรา) สลับกับการเล่าเรื่องชาดกเพื่อยกตัวอย่างต่างๆ จากที่ได้เคยฟังมาจากเทปธรรมะของพ่อแม่ครูอาจารย์ต่างๆ เช่น
  • ศีลคือเจตนาที่จะงดเว้น เช่น เด็กชาย ก. ข. และ ค. เดินเข้าไปในสวนมะม่วงของคนอื่น ทั้งสองมองเห็นมะม่วงสุก เกิดอยากกิน อยากได้มะม่วง นาย ก. ห้ามใจตนเองไม่เอามะม่วงนั้น เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี นาย ข. ไม่เอามะม่วงเหมือนกัน แต่เพราะคิดกลัวจะถูกจ้บได้และถูกลงโทษ นาย ค. หยิบมะม่วงนั้นทันที   กรณีแบบนี้ ก่อนเด็กชายทั้งสามจะเจอมะม่วง ครูจะยังแยกไม่ได้ว่าใครมีศีล  หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น ครูจะแยกได้ทันทีว่า นาย ค. ไม่มีศีล แต่จะยังไม่สามารถแยกได้ว่า นาย ก. หรือ ข. มีศีลหรือไม่ จนกว่าจะสอบถาม สภาษณ์ หรือสะท้อนเหตุผลของแต่ละคนออกมา 
  • เผลอไปฆ่าสัตว์โดยไม่เจตนา บาปไหม? -> บาป แต่บาปมากน้อยแตกต่างไป
  • สมาธิแบ่งได้เป็น ๒ แบบ (สรุปจากการฟังธรรมะที่แสดงโดยหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช) ได้แก่ สมาธิธรรมดา เหมือนสมาธิที่แมวใช้จับหนู หรือครูใช้สอนหนังสือ  และ "สมาธิตั้งมั่น" หรือสัมมาสมาธิ รู้กาย รู้ใจ ซึ่งจะทำให้เกิด "ผู้รู้" ซึ่งเป็นทางนำไปสู่ "ปัญญา"  ... ขอแนะนำให้ผู้บริหารและครูทุกคนลองฟังธรรมะที่นี่เว็บไซต์ http://www.dhamma.com/ จะเข้าใจเรื่องนี้ 
  • ฯลฯ
ขอจบฮ้วนๆ เท่านี้นะครับ





ดูรูปทั้งหมดที่นี่

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๓๒ : ฝึกอบรมครูอนุบาลบ้านวิทยาศาสตร์น้อย (๗) : การทดลองที่ ๗ "เทียนดูดน้ำ"


ความจริงเทียนไม่ได้ "ดูดน้ำ" แต่น้ำต่างหากที่ถูก "ดัน" เข้าไปหลังจากเทียนดับ แต่เนื่องจากเราชินกับการใช้หลอดดูดมากกว่า ทำให้หลายคนเข้าใจว่าน้ำถูกดูดเข้าไปในแก้ว แต่อย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับการทดลองบ้านวิทยาศาสตร์ของหนูน้อยอนุบาล เพราะหากฝึกกระบวนการสังเกตและทดลองนานเข้า พวกเขาจะรู้ได้ด้วยตนเอง



ความรู้ที่ครูไม่ต้อง
การทดลองเรื่องเทียนดูดน้ำ มีหลักการพื้นฐานของเครื่องมือวัดความดันอากาศที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า บารอมิเตอร์ (ศึกษาองค์ความรู้อย่างละเอียดพอสมควรได้ที่นี่ หรือที่นี่)  สังเกตรูปด้านล่าง

(ที่มา : คลิกที่นี่)

นักวิทยาศาสตร์พบว่า หากเรานำของเหลวเช่น ปรอท ใส่ไว้ในอ่างหรือภาชนะดังรูป แล้วเอาหลอดแก้วสุญญากาศไปวางคว่ำลงในปรอท บรรยายกาศด้านนอกหลอดจะดันปรอทเข้าไปในหลอดให้สูงขึ้นจนกว่าแรงดันอากาศภายในหลอดเท่ากับความดันอากาศด้านนอก ด้วยวิธีนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างเครื่องมือวัดความดันได้  ซึ่งพบว่าความสูงของปรอทในกรณีที่เป็นความดันบรรยากาศอยู่ที่ ๗๖๐ มิลลิเมตร (เรียกว่า ๗๖๐ มิลลิเมตรปรอท)

ฉันใดก็ฉันนั้น คล้ายๆ กัน เมื่อเราจุดเทียนตั้งไว้ในอ่าง(จาน)ใส่น้ำ แล้วคว่ำแก้วลงไปรอให้เทียนดับ ระดับน้ำในแก้วก็จะขยับขึ้นไปจนกว่างความดันภายในจะเท่ากับความดันภายนอกแก้ว 

ผมสืบค้นพบว่า น้องนักศึกษา ม.เทคโนโลยีราชมงคล ทำคลิปไว้ดีมากครับ


คำถามที่ต้องถามคือ
  • ทำไมเทียนจึงดับ 
  • การเผาไหม้ทำให้อากาศในขวดแก้วเปลี่ยนไปอย่างไร 
หากเปรียบเทียบหลักการของบารอมิเตอร์ข้างบน กับสิ่งที่น้องหลายคนพยายามอธิบายในคลิป ก็จะได้คำตอบที่น่าจะพอใจครับ

อย่างไรก็แล้วแต่ ...  ครูแม่ๆ ไม่ต้องพยายามอธิบายอะไรให้เด็กอนุบาลมากหรอกครับ มุ่งเอาท้าทาย สนุก และมีความสุขที่ได้ทดลองก็พอแล้ว ....ฮา






ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๓๑ : ฝึกอบรมครูอนุบาลบ้านวิทยาศาสตร์น้อย (๖) : การทดลองที่ ๖ "ขวดดูดน้ำ"

การทดลองเรื่อง "ขวดดูดน้ำ" อาจจะไม่สนุก ท้าทาย แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้มีองค์ความรู้ซ่อนอยู่หลายอย่าง ตั้งแต่ เรื่อง แรงดันอากาศ ความดันอากาศ ความกดอากาศ ฯลฯ





ผมค้นพบว่าตอนนี้มีรายการ "รู้รอบวิทย์ อย่างมีเหตุผล" ทำคลิปวีดีโอความชัดระดับ HD มาให้เราดู พร้อมทำกราฟฟิคสอนครูได้ชัดเจนมากๆ  คลิกเลยครับ



คุณครูไม่ต้องตกใจครับ ไม่ต้องใช้เตาไมโครเวฟเหมือนคุณยูกิในคลิปก็ได้ครับ เพียงแต่ใช้น้ำร้อนเทใส่ขวดทิ้งไว้สักครู่ก่อนนำไปคว่ำลงน้ำเย็น เด็กๆ ก็จะเห็นปรากฎการณ์คล้ายกันครับ

ขอบจบแบบฮ้วนๆ อีกแล้วครับ ...

แต่อย่าลืมนะครับ
  • เริ่มด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ 
  • กระตุ้นให้สงสัยด้วยการตั้งคำถาม
  • ตามด้วยการสาธิต 
  • ปล่อยให้คิด ลองผิด ลองถูก ด้วยการลงมือทำ 
  • เปิดโอกาสให้ฝึกนำเสนอ อธิบาย
  • และให้อภิปราย สะท้อน ถอดบทเรียน



วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๓๐ : ฝึกอบรมครูอนุบาลบ้านวิทยาศาสตร์น้อย (๕) : การทดลองที่ ๕ "หมุดลอยน้ำ"

การทดลองเรื่อง "หมุดลอยน้ำ" ดูเหมือนจะง่าย แต่ความจริงแล้วยากและท้าทายมากสำหรับเด็กๆ  ข้อดีคือเป็นการทดลองเดี่ยว เด็กๆ ทุกคนได้ลงมือ หาวิธีวางลวดหนีบกระดาษหรือหมุดตะปูอย่างไรไม่ให้จมน้ำ



 วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้หาซื้อได้ที่ร้านเครื่องเขียนเช่นกัน ได้แก่ ลวดหนีบกระ หมุดตะปู ส่วนกาละมังใหญ่ ใส่น้ำ (หรือเล็กก็ได้) หากมีอยู่แล้วก็ไม่ต้องซื้อ




การทดลองเรื่องหมุดลอยน้ำ มีความเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะความไม่ปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้จากหมุดตะปู ดังนั้นครูต้องดูแลเป็นพิเศษ ควรมีการ "พานับ" หมุดตะปูเพื่อให้นักเรียนตั้งตระหนักตอนที่จะรับหมุดตะปูจากครูไป

ความเสี่ยงที่สำคัญยิ่งอีกสิ่งหนึ่งคือ  ความเสี่ยงที่นักเรียนจะทำไม่สำเร็จ  "ความไม่สำเร็จ" หมายถึงความรู้สึก "ฉันทำไม่ได้" ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนค่อยๆ เสียความมั่นใจ แม้จะดีที่จะเพิ่ม "ความท้าทาย" แต่ถ้าตอนท้ายไม่ "แฮบปี้เอ็นดิ่ง" การเรียนนี้ก็ไม่สนุก เด็กอาจทุกข์กับการเรียน  ดังนั้น ครูต้องทดลองดูก่อน หากทำสำเร็จได้ยากเกินไป  สาเหตุอาจมาจากน้ำ น้ำในแต่ละแห่งอาจมีแรงตึงผิวแตกต่างกัน  แนะนำให้ลองเปลี่ยนน้ำ


ต้องตั้งคำถาม 

คำถามก่อนเริ่ม เช่น
  • นี่อะไร (ครูหยิบลวดหนีบกระดาษชูขึ้น) เอาไว้ทำอะไร ... ครูทดลองใช้ลวดหนีบกระดาษหนีบให้ดู
  • คิดว่าลวดหนีบกระดาษจะจมน้ำหรือลอยน้ำ ....   ครูต้องไม่เฉลย แต่ท้าทายว่า  วันนี้เราจะมีวัดระดับ "สมาธิ" (ไม่หวังถึงระดับเข้าใจ เพียงให้ได้ยินไว้บ่อยๆ) ใครจะมีมากน้อยกว่ากัน ใครวางได้มากกว่า แสดงว่ามีสมาธิดี
คำถามระหว่างการทดลอง เช่น
  • เห็นอะไร เกิดอะไรขึ้น  ... ฝึกสังเกต และอธิบาย
  • ทำไมบางอันทำได้สำเร็จลอยได้ แต่บางอันจมไม่ลอย 
  • ใครสามารถสอนเพื่อนได้ว่า ต้องทำอย่างไร ให้ลอย
คำถามหลังการทดลอง เช่น
  • สนุกไหม  สนุกตรงไหน  
  • ต้องทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ .... หากเด็กๆ ตอบว่า "ต้องนิ่ง" หรือ "ตั้งใจ" ...ครูก็สามารถเชื่อมโยงสู่คำว่า "สมาธิ" แล้วเสริมแรงด้วยการเชื่อมโยงว่า สมาธิทำให้ ความจำดี ทำอะไรก็เก่ง 

ความรู้ที่ครูไม่จำเป็นต้องสอนเด็กอนุบาล

การทดลองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ "แรงตึงผิว" ของน้ำโดยตรง แรงตึงผิวเกิดจากการยึดเกาะกันของโมเลกุลของสารที่บริเวณผิว โมเลกุลที่อยู่ลึกลงไปในสารนั้นจะมีแรงยึดเกาะทุกทิศทางทั้ง ซ้าย ขวา หน้า หลัง ล่าง และบน  แต่โมเลกุลที่ผิวบนสุด จะไม่มีแรงยึดเกาะจากด้านบน ทำให้แรงยึดเกาะด้านข้างมีแรงพลังห่อหุ้มไว้ไม่ให้กระจายไป ที่เราเห็นหยดน้ำก็เพราะน้ำมีแรงตึงผิวนั่นเอง

ตัวอย่างที่ชัดเจนและเด็กๆ อาจรู้จักคือ การลอยของแมลงจิงโจ้น้ำ (อ่านที่นี่) ความจริงที่ใกล้ตัวกว่านั้นคือ สบู่ ผงซักฟอก แชมพู หรือสารทำความสะอาด ล้วนแล้วแต่เป็นสารลดแรงตึงผิว เพื่อที่จะทำลายแรงยึดเกาะของคาบสกปรกนั่นเอง

ขอจบฮ้วนๆ เพียงเท่านี้นะครับ ....  อยากเห็นครูเทศบาลเมืองมหาสารคาม ถ่ายรูปกิจกรรมบ้านวิทยาศาสตร์น้อยมาโพทส์แลกเปลี่ยน  เอาเรื่องเล่าแห่งความสุขของนักเรียนมาเขียนแลกกันอ่านครับ ...




วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๒๙ : ฝึกอบรมครูอนุบาลบ้านวิทยาศาสตร์น้อย (๔) : การทดลองที่ ๔ "ความลับของสีดำ"

ความจริงๆ เราสามารถทำให้เด็กๆ รู้ความลับของสีดำได้ง่ายๆ หลังจากการทดลองเรื่อง "การละลายของน้ำตาล" (อ่านที่นี่)  ด้วยการ พาเด็กๆ ยกจานขยับวนไปมาให้สีจากขนมผสมกัน จะเห็นเป็น "สีดำ" ทันทีครับ ...สรุปได้เลยว่า "สีดำ" นั้นอาจจะทำมาจากหลายสี หรือมีหลายสีที่ซ่อนอยู่ในสีดำ ที่มองไม่เห็น ....

อย่างไรก็ดีการทดลอง  "ความลับของสีดำ" สามารถเรียนรู้ได้จากกิจกรรมในบันทึกนี้  ซึ่งมีข้อดีคือ บูรณาการกับงานศิลปะ และสุนทรียะจากธรรมชาติ (ดอกไม้...ต้องใช้จินตนาการ..ฮา) ได้อย่างลงตัวยิ่ง  ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังเด็กๆ
 


องค์ความรู้เป้าหมาย ที่อยากให้เด็กๆ รู้ได้ด้วยตนเองคือ  "สีหลายๆ สีรวมกันจะกลายเป็นสีดำ"  หรือ "สีดำนั้น ทำมาจากสีหลายสี" แต่พิสูจน์ด้วยวิธีเบื้องต้น "โครมาโตกราฟฟี่"

ความรู้ที่ครูไม่จำเป็นต้องบอกเด็กอนุบาล

เราจะจำไว้เสมอว่า เป้าหมายสำคัญคือ "ความสนุกและความสุขในการเรียน"  โดยมีข้อแม้ว่าต้องเป็นความสุขจากการเรียนรู้  ดังนั้เราต้องไม่ยัดเยียดความรู้ที่แม้แต่ครูก็ "ไม่ชอบ" และตอบไม่ได้ด้วยว่าเด็กๆ จะได้พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันอย่างไร....  ผมคิดว่าหนึ่งในองค์ความรู้ที่ครูไม่ต้องสอนคือคำว่า "โครมาโตกราฟฟี่" 

โครมาโตกราฟฟี่ Chromatography (คำว่าโครมา (Chroma) หมายถึงสี เห็นสี ส่วนคำว่ากราฟ (graphy) ก็คือสีที่มีความหมายหรือ "ภาพ"  ดังนั้นคำว่า Chroma-to-Graphy ก็คือวิธีแยกสีออกเป็นภาพที่มีความหมายนั่นเอง ... โดยมีความจริงของธรรมชาติต่อไปนี้ซ่อนอยู่หากครูใช้วิธีแยกด้วยกระดาษกรอง
  • สารต่างชนิดกันจะละลายได้ดีไม่เท่ากัน 
  • สารต่างชนิดกันจะถูกดูดซับได้ดีไม่เท่ากัน
สารสีต่างกันคือสารต่างชนิดกัน  สารที่ละลายได้ดีจะเคลื่อนที่ไปบนกระดาษได้ใกล้ไกลต่างกัน  สารที่เคลื่อนที่บนกระดาษได้ไม่ดีเพราะถูกดูดซับมาก (อ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ)

การทดลองเรื่อง "ความลับของสีดำ" 

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการทดลองนี้ หาซื้อได้ที่ร้านเครื่องเขียนทั่วไป อย่างน้อยต้องมี สีหรือปากกาสีซึ่งต้องดูให้ดีว่า เป็นสีน้ำหรือสีที่ละลายในน้ำ และอีกอย่างหนึ่งคือกระดาษกรอง  สามารถเลือกใช้สีน้ำหรือปากกามาใช้ในการทดลอง


หากครูมีสีน้ำอยู่แล้ว (ความจริงไปขอมาจากครูสอนศิลปะได้) ไม่ต้องไปซื้อปากกาใดๆ ให้สิ้นเปลือง  ให้เอาสีหลายๆ สีผสมกันจะได้สีดำ แล้วนำสีดำนั้นไปเขียนลงบนกระดาษกรอง แต่หากมีปากกาสีสีดำที่ทำมาจากสีละลายน้ำ (โปรดทดลองดูก่อน) เด็กๆ ก็จะไม่เลอะเปรอะเสื้อผ้า วิธีการก็คล้ายกัน เอาไปเขียนลงบนกระดาษกรอง แล้วเริ่มทำการทดลองตามคลิปของครูพิษณุพงศ์ที่นี่ ท่านทำไว้ดี เข้าใจทีเดียวครับ


(ที่มา: https://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=ljvjaP5-Zrc)

การทดลองนี้ไม่ควรใช้วิธี "สาธิต" แต่ควรใช้วิธี "พาทำ" ที่ละขั้นตอน แต่ต้อง "ตั้งคำถาม"

หลักสำคัญของการทำกิจกรรมบ้านวิทยาศาสตร์น้อย คือ เราต้องเริ่มด้วยการตั้งคำถาม เพื่อกระตุ้นความสงสัย เพราะความสงสัยเกิดขึ้นเมื่อเด็กๆ อยากรู้  ความอยากรู้จะนำไปสู่การหาคำตอบ ซึ่งถ้าเด็กๆ ชอบ องค์ความรู้นั้นจะอยู่กับเด็กได้นานกว่า  
  • เห็นอะไร , สีอะไรบ้าง, มีกี่สี,  สีใดอยู่ข้างใน สีใดอยู่ขอบ...ฯลฯ   (คำถามกระตุ้นความสนใจให้ได้ฝึกสังเกต) ... อย่าลืมว่า ต้องให้เด็กๆ ทุกคนได้ลองอธิบาย (เช่น ให้บอกเพื่อน เล่าให้เพื่อนอีกลุ่มหนึ่งฟัง ฯลฯ)
  • เปลี่ยนจากเดิมอย่างไร  เปลี่ยนเร็วไหม ใครเร็วกว่า  ... (ถามให้สังเกตกระบวนการ การเปลี่ยนแปลงตามเวลา).. คำถามนี้ใช้พัฒนาการคิดโดยตรง...ดังนั้นครูต้องไม่ลืมถาม ต้องถามบ่อยๆ  ให้สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ 
คำถามว่า "ทำไม" ไม่ควรถามเร็วเกินไป เพราะเป็นคำถามที่ยาก  โดยมากถามไป เด็กจะตอบไม่ได้ แล้วครูก็จะบอกคำตอบ หรือ "ถามนำ" ทำให้ไม่ได้เรียนรู้จริงๆ  เพราะเด็กๆ จะจำคำครูทันที

เนื่องจากการทดลองนี้ต้องใช้เวลาในการรอคอย และเป็นการทดลองที่ไม่ซับซ้อน เด็กๆ สามารถทำได้ไม่ยาก  ดังนั้นครูไม่ควรใช้วิธีการ "สาธิต"  เพราะเมื่อรู้คำตอบก่อน กิจกรรมการสอนอาจจะกร่อยไป .. เว้นแต่ครูใช้วิธีนี้เป็นการสร้างงานศิลปะ

(ขอจบห้วนๆ เท่านี้นะครับ)






ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๒๘ : ฝึกอบรมครูอนุบาลบ้านวิทยาศาสตร์น้อย (๓) : การทดลองที่ ๓ "การละลายของน้ำตาล"

บันทึกที่ ๑  "ปลากับเรือดัน้ำ"
บันทึกที่ ๒  เรื่อง "หมุดลอยน้ำ"

การทดลองเรื่องการละลายของน้ำตาล ได้ผลดีมากหากเป็นเด็กเตรียมอนุบาล  ผมเข้าใจว่า เป็นเพราะเด็กวัยนี้ เพียงสีสวยงาม ฉุดฉาด ก็สามารถกระตุ้นความฉลาดได้บ้างแล้ว  โดยเฉพาะเมื่อเห็นสีที่กำลังเปลี่ยนแปลงขยายขนาดออกไปรอบๆ เม็ดขนม M&M



หากผมพิจารณาการทดลองต่างๆ ของโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ว่า

  • ความรู้ : หมายถึง เป้าหมายได้องค์ความรู้ หลักการหรือทฤษฎีต่าง ๆ ที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ในการทดลองนั้นๆ 
  • ทักษะ : หมายถึง ทักษะ ประสบการณ์ หรือ ความชำนาญที่เด็กจะได้รับจากการฝึกคิด ฝึกทำ  หรือ การนำไปใช้ได้จริงๆ ในชีวีต (ทักษะชีวิต)
  • เตรียมวัสดุอุปกรณ์ง่าย : หมายถึง ความง่ายในการเตรียมการทดลอง วัสดุอุปกรณ์หาง่าย ไม่ซับซ้อน
  • ความสนุก ท้าทาย  มีความหมายตรงๆ  มุ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการทดลองทั้งหมด คือเน้นให้ นักเรียนสนุก มีความสุขที่ได้เรียน 
  • ได้เรียนรู้จากลงมือทำ หมายถึง การมีส่วนร่วมด้วยการได้ลงมือปฏิบัติของนักเรียน 
  • ราคาถูก : หมายถึง ราคาของวัสดุอุปกรณ์ หากไม่ได้ซื้อจะด้ ๑๐ คะแนน
  • ความปลอดภัย คือหัวใจสำคัญอีกประการที่ต้องคำนึงถึงเสมอ 
  • เรียนรู้จากการคิด  หมายถึง  นักเรียนได้ใช้การสังเกตและคิดหาคำตอบ เป็นเหตุเป็นผล



การทดลอง "การละลายของน้ำตาล"  จะเด่นเรื่องการเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ง่าย ราคาถูก แค่เพียงมีขนมช็อคโกแล็ต M &M  เม็ดสีต่างๆ และมีจานสักใบ ก็ใช้ได้   การทดลองก็ไม่ซับซ้อน  เพียงวางขนมลงในจาน และเทน้ำลงในจานให้ท่วมขนมครึ่งเม็ด แล้วก็กระตุ้นให้เด็กๆ สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น

ต้องเริ่มด้วยการตั้งคำถาม (ต่อด้วยการสาธิต)

ปรากฎการณ์ที่เราอยากสอนเด็กคือ "การละลายของน้ำตาล"  ดังนั้นคำถามที่ครูต้องตั้งขึ้นสอนก่อนการทดลองต้องกระตุ้นให้เด็กสงสัย ในเรื่องน้ำ น้ำตาล และขนม เอ็มแอนด์เอ็ม เช่น
  • ครูชูขนมไว้ในมือ แล้วถามว่า รู้จักไหมอะไรอยู่ในมือครู...  ใครรู้จักยกมือขึ้น...  
  • ใช่แล้ว... ขนม "เอ็มแอนด์เอ็ม" ... ครูแจกขนมให้คนละเม็ดให้ลองชิมดู.... จากนั้น ครูต้องถามเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ฝึก "อธิบาย" ด้วยคำถามง่ายๆ ว่า  ...
    • รสชาดเป็นอย่างไร ... เด็กๆ น่าจะตอบว่า "หวาน...."  
    • หวานเหมือนอะไร?  ...  ตรงนี้นักเรียนจะได้ฝึกคิดวิเคราะห์เปรียบเทียบมากๆ  เช่น  หวานเหมือนมะม่วงสุก หวานเหมือน..... 
    • หากเราต้องการรสหวานเราต้องเติม.... "น้ำตาล" 
    • นอกจากหวานแล้วมีรสอย่างอื่นไหม ...  ถามนำไปสู่ช็อคโกแล็ต (หากเด็กๆ รู้จักช็อคโกแล็ต)
    • สรุปว่า ขนมมีส่วนผสมของน้ำตาล และสีผสมอาหาร ... 
  • ครูเอาขนมสีต่างๆ วางลงบนจานสัก ๓ เม็ด ดังภาพ  แล้วตั้งคำถามกับเด็กๆ ว่า 
    • ไหน..ใครบอกได้ว่า หากครูทีน้ำลงใส่ในจาน จะเกิด(เหตุการณ์)อะไรขึ้น ...  บอกทวนคำตอบของเด็กๆ โดยไม่เฉลย  ...  
    • เมื่อเด็กสนใจเต็มที่ ครูเทน้ำลงบนจาน  พร้อมใช้คำพูดกระตุ้นให้นักเรียนดู 
ต้องให้นักเรียนได้ลองทำตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตนเอง (แม้จะเป็นเด็กอนุบาล)

ผมเสนอว่า... หลังจากการสาธิต ครูต้องแจกขนมเอ็มแอนด์แอ็มให้เด็กๆ แต่ละกลุ่ม (ไม่ควรเกินกลุ่มละ ๓ คน) พร้อมจานและน้ำ  แล้วให้เริ่มทำการทดลองด้วยตนเอง  โดยให้ครูเดินดูแลไปทีละกลุ่ม  ถ้ากลุ่มไหนทำไม่ได้เลย ครูก็ลงมือทำให้ดู  แต่หน้าที่หลักๆ คือ
  • ตั้งคำถามว่า "เกิดอะไรขึ้น" "เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง"   เพื่อฝึกให้เด็กแต่ละคนได้ สังเกต -> คิด -> พูด   .... (ครบรอบกระบวนการ Input-Output ของการเรียนรู้)
ครูพาสะท้อนการเรียนรู้ 

ผมเข้าใจว่ามีกระบวนการหลายอย่างที่ครูสามารถใช้สะท้อนการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่ครูอนุบาลทุกคนรู้มากกว่าผม  เช่น การตั้งคำถาม ให้วาดรูป ให้ออกไปนำเสนอ ฯลฯ   อย่างไรก็ดี การจะทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าอะไรคือ "การละลาย" ไม่ใช่เรื่องง่าย  โดยเฉพาะเมื่อเราใช้การแพร่ (Diffusion) ของน้ำตาลอย่างในการทดลองนี้

ให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้เองเสมอ  (เด็กๆ อนุบาลไม่ต้องสอบ O-Net)

วิธีสรุปให้นักเรียนรู้จักคำว่า "ละลาย"  ที่ง่ายและดีที่สุด (ที่ผมคิดได้) คือ ครูให้เด็กๆ หยิบเอาขนมเอ็มแอนด์เอ็มในจานที่ผ่านการเทน้ำใส่ให้ท่วมระดับครึ่งเม็ดขนมตามที่บอกไว้แต่แรก  (หรืออาจให้เด็กๆ ค่อยเทน้ำทิ้งก็ได้)  แล้วพลิกเม็ดขนมขึ้น จะพบว่า สีสวยงามต่างๆ หายไป เหลือเพียงสีน้ำตาลของช็อคโกแล็ตเท่านั้น   .... ครูตั้งคำถามและชี้ให้เด็กๆ ดู
  • เห็นอะไร? ...   เม็ดขนมเปลี่ยนไปอย่างไร ...  สีสวยๆ หายไปไหน  
แล้วเราก็เชื่อมว่า  "ละลาย" กับคำว่า "สีหายไปในน้ำ .... 

ไม่รู้ว่าวิธีนี้จะดีหรือไม่ ...  คุณครูที่นำไปใช้ ลองมาแบ่งปันกันนะครับ...   ผมเองทดลองใช้กับลูกสาววัย ๓ ขวบ ...โอเค...เลยครับ

การละลายของน้ำตาล

มีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งครูจำเป็นต้องทำ (ผมเสนออีกแล้ว)  คือการใช้กระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ตรงๆ ว่า น้ำตาล "ละลายน้ำ" หรือไม่   ซึ่งควรจะทำหลังจากที่เด็กๆ เข้าใจและเชื่อมโยงคำว่า "ละลาย" กับว่า "หายไป" หรือ "สีขยายออก" จากการทดลองของขนมเอ็มแอนด์เอ็มแล้ว

วิธีการคือ เทน้ำใส่จาน (ระดับเท่าๆ เดิมที่เคยเติมตอนแรก)  แล้ววางก้อนน้ำตาลทรายลงตรงกลาง ใช้หลอดหยด กดสีให้หยดลงบนก้อนน้ำตาล  แล้วให้เด็กๆ สังเกตว่า น้ำตาลละลายในน้ำหรือไม่

และย้ำความเข้าใจ ให้ครูเปลี่ยนจากน้ำตาลเป็นน้ำมัน  แล้วตั้งคำถามให้เด็กเปรียบเทียบกัน  และสรุปเชื่อมโยงกันว่า น้ำตาลไม่ละลายในน้ำมัน นั่นเอง ....