วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๐๑ : เข้าพบผู้อำนวยการโรงเรียน_โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยา

วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ทีมขับเคลื่อน PLC มหาสารคาม เดินทางไปขอเข้าพบผู้อำนวยการโรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยา ๑ ใน ๗ โรงเรียนเป้าหมายในการขับเคลื่อน PLC เพื่อการศึกษา ที่สังกัดกองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เทศบาลเมืองมหาสารคาม ที่ทีม CADL "วางเป้า" ว่าจะเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายหลักในปี ๒๕๕๗ นี้

การเข้าพบผู้อำนวยการโรงเรียนทั้ง ๗ โรงเรียน มีวัตถุประสงค์ หลายประการ ทั้งเป็น "วิชาการ" และ "ชาวบ้าน" ทั้งแบบ "ทางการ" และแบบ "พลการ" การเข้าพบท่าน ดร.สมปอง มาตย์แท่น ผู้อำนวยการโรงเรียน จึงทำให้ท่าน "ตกใจ" เล็กน้อยว่า "เอ๊ะ..ใครมา ... มาถึงก็ลงมาถ่ายรูป ใหญ่เลย..." เป็นส่วนหนึ่งของประโยคที่ท่านเฉลยให้ฟัง หลังจากคุยกันจนเข้าใจ...ต่อไปนี้เป็นข้อมูล และข้อค้นพบ หรือ ข้อสังเกต ที่ได้จากการสนทนากับท่านประมาณ ชั่วโมงเศษๆ

จับประเด็นที่ "เห็น" จากการ "ฟัง"

  • ปีที่ผ่านมาโรงเรียนมีนักเรียนประมาณ ๒๐๐ คน แต่ปีนี้ นักเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิมเท่าตัวเป็นประมาณ ๔๐๐ คน เพราะผู้ปกครองเชื่อมั่นว่า ลูกของตนเองสามารถ "อ่านออก เขียนได้" เมื่อย้ายมาที่นี่ 
  • ดร.สมปอง มาตย์แท่น เป็น ผอ. ที่ย้ายมาใหม่ได้ประมาณ ๒ ปี ทันทีที่ท่านเข้ามา พบว่าปัญหาสำคัญคือการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียน บางห้องที่มีนักเรียน ๒๗ คน มีเพียง ๗ คนที่ "ทำได้" แต่ที่เหลืออีก ๒๐ คน คงต้องฝึกฝนอีก  
  • ทางโรงเรียนมีศูนย์เพื่อพัฒนาเด็ก LD อยู่แล้ว ถ้ามีปัญหาก็จะส่งเข้าไปศูนย์ดังกล่าว ถ้าดีขึ้นก็ส่งกลับมาเรียนร่วมกับเพื่อนในห้องเรียน
  • มีการประชุม ประจำเดือน หรือมีพิเศษก็จะประชุมบ้าง ตอนนี้กำลังเร่งเรื่องอาเซียน จัดอบรมไปแล้ว...มาตอนเช้า ต้องมาค้นศัพท์ในชีวิตประจำวัน เช่น คำที่ต้องใช้ในโรงอาหาร ฯลฯ แล้วปริ๊นไปให้ครู
  • ด้านไอซีที ไม่มีปัญหา ฝึกอบรมแล้วเรียบร้อย และครูสามารถใช้ได้ ตอนนี้จะให้งานให้อะไรกัน จะสั่งกันทาง "ไลน์"  โดยเฉพาะเด็กและผู้ปกครอง (ข้างนอกโรงเรียน) กำลังเห่อ กำลังเก่ง
  • ท่านบอกว่า กำลังเน้นเรื่องการ "อ่านไม่ออก เขียนไม่คล่อง" กำลังจะยกเป็นอัตลักษณ์ของโรงเรียน ... เพราะตอนนี้ถือเป็นปัญหาระดับชาติ...โดยเน้นที่ปรับพื้นฐานของนักเรียนนี่แหละ "ทำซ้ำ ทำย้ำ ทำบ่อย" ทำเป็นกิจวัตรของเรา "ซ้ำ" หมายความว่า ทุกชั่วโมงก่อนสอน ๕ นาที และหลักเลิกเรียน รวมกลุ่มทุกวัน มีท่องสูตรคูณ เรียนรู้คำ เรียนรู้ประโยค ถ้าเป็นภาษาอังกฤษอาจจะเป็นเพลง ทำแบบนี้ได้ผลมาก ควบคุมหนักๆ อยู่ ๑ เทอม ... เราพิสูจน์แล้วว่า หลักสูตรปี '๐๓ ดีที่สุด... ถ้าเด็กท่องได้แล้ว อ่านได้แล้ว จะเกิดความคิด ความอ่าน ต่อยอดออกไปได้ จะ "แตก" ออกไป แต่ถ้าจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง จะเอาอะไรมาต่อ มาสะกด จะเอาอะไรมาผสมอะไร ... ความรู้ต้องติดไปในสมองก่อน  ต้องได้ตั้งแต่ต้นทาง...ท่านบอกว่า...ความจริงครูไม่ต้องทำอะไรนอกจากสอนให้ หนักเท่านั้นแหละ..ปากต่อปากไปเอง ทำมาแล้ว ๒ ปี เด็กเพิ่มขึ้น ๒๐๐ คน ปีนี้ (๒๕๕๗) ที่ย้ายเข้ามามากเป็นระดับประถมศึกษา ไม่ใช่ระบบระดับอนุบาล วิธีการคือเน้นให้ครูสอน ผู้ปกครองมาเมื่อไหร่จะเห็นครูสอนตลอด เยกิจกรรมเขียนตามคำบอก คิดเลขเร็ว ท่องสูตรคูณ ท่องบทอาขยาน ทำทุกชั้น 
  • ส่วนเรื่องระเบียบวินัยเป็นงาน "ลูทีน" เป็นงานปกติ ... งานอะไรที่เขาทำมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมหรอก...
  • ครูไม่อยากไปไหน เบื่อมาก ครูวิชาการแทบจะไม่ได้สอน อบรมบ่อย เมื่อถามว่า อยากพัฒนาครูด้านใด ท่านบอกว่า ถ้าเป็นไปได้อยากได้ "เทคนิคการสอนใหม่ๆ " 
  • เด็ก ที่อ่านไม่ออก จะไปโทษครูไม่ได้นะ เพราะครูก็สอนกันมาก สอนกันเหมือนเดิม เพราะหลักสูตรไม่ดี ผิดที่หลักสูตร และตอนนี้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถช่วยสอนการบ้านได้ จึงเป็นปัญหาหลายด้าน
  • ท่านใช้วิธีแก้ไขแบบสไตล์ "นักปฏิบัติ" ทันที ด้วยรูปแบบการพัฒนาคล้ายบันได ๓ ขั้น ดังรูป 

ผมสังเคราะห์แผนผังขั้นตอนด้านบนจากเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง แบบนักทำ ดังประโยคต่อไปนี้

  • ต้องศึกษาเด็กก่อน ผอ.จะไปดูว่ากลุ่มไหนเด็กเก่ง คัดกรองเด็กก่อน เมื่อรู้ว่าใครได้ไม่ได้ ก็เอานักเรียนที่ทำได้มาเป็น "หลัก" ย้ายมาปีแรก ไปสอนแทนเด็ก ป.๔ เด็ก ๒๗ คน อ่านออกอยู่ ๗ คน ...ทีแรกนำมาทำเองเลย ตอนพักเที่ยงและหลักเลิกเรียน เราทำให้ครูเห็นเป็นตัวอย่างก่อน 
  • เอา ๗ คน มาคุยว่า เขาต้องดูแลเพื่อน รับผิดชอบเพื่อน สอนเพื่อน แล้วแบ่งเด็กที่เหลือเป็น ๗ กลุ่ม โดยให้สมัครใจว่าใครจะไปอยู่กับใคร  
  • แรกๆ ครูเป็นคนหาให้ และสร้างหัวหน้าทีม หรือเด็กแกนนำก่อน ใช้วิธียกย่อง เชิดชู ให้เป็นฮีโร่ในกลุ่ม พบว่า นักเรียนแกนนำจะแข็งขันมาก เขาอยากจะให้เพื่อนได้ ผอ. จะอยู่แถวนั้น ไม่ไปไหนเลย คอยดู
  • เขาว่างตอนไหน แล้วแต่เขา ส่วนใหญ่ตายตัวคือ พักเที่ยง กับหลังเลิกเรียน ครูมอบงานให้ เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ให้ไปเล่นได้ 
  • ต่อไปก็ให้เขาคิดเอง หาหนังสือเอง เขาชอบแบบไหน หนังสืออะไร ตอนนั้นขอซื้อหนังสือเข้าห้องสมุด ๑ แสนบาท  แต่เราเป็นคนกำกับ เชียร์ เผลอไม่ได้ 
  • แรกๆ เราทั้งช่วยสอน ทั้งช่วยหา ต่อๆ มาก็ปล่อยให้เขาทำเอง คิดเอง 
  • สอนตั้งแต่ฟังไปเลย อ่านให้ฟัง พาอ่าน ฟังอ่าน
  • ผอ. จะเดิน... ปกติจะเดินวันละ ๔ ครั้ง สำคัญคือ "เราต้องเห็นเขาทำ" ถ้าเขาทำแล้วเราไปเห็น ก็จะเป็นกำลังใจอย่างยิ่ง  ต้องไปเวียนดู ตะโกนใส่ไป ..แต่ไม่ไปยืนกำกับนะ เพราะจะไม่เป็นอิสระ
  • ใหันักศึกษาฝึกงานช่วยรับผิดชอบเด็กไม่ต่ำกว่า ๕ คน 
  • เราต้องสร้างแหล่งเรียนรู้ให้เขาด้วย ซื้อหนังสือปีที่แล้ว ให้นักเรียนไปเลือก ให้นักเรียนเลือกมากองไว้ๆ แล้วก็ซื้อมา ตอนนี้กำลังสั่งวัสดุมาให้ครู
  • หาหนังสือง่ายๆ มาให้อ่าน หนังสืออนุบาล ๑ ป.๑ มาให้อ่าน ทำต่อเนื่องจนเป็นนิสัย ถึงเวลาก็จะวิ่งมา 
  • แต่สิ่งสำคัญคือ การชม สำคัญมาก และถามไถ่ เห็นหน้าเมื่อไหร่ ทักเรื่องนี้ .. ครูเหมือนกันนะ 
  • คนสอนเขาต้องการกำลังใจ คนเรียนก็ต้องการกำลังใจเหมือนกัน 
  • อะไรก็ตามที่ทำต่อเนื่องจะได้ผล ทำแบบประเมิน จัดฉาก สร้างภาพ ไม่ได้ผล
  • คนที่ทำ ต้องมีความตระหนักจริงๆ นะ ถึงจะทำได้ ... เรานี่ขาอ่อนเลยนะ มาเจอเด็กอ่านหนังสือไม่ออก ... ต้องรักเขาด้วยนะ ...พอเขารู้สึกว่าได้รับความอบอุ่น ก็จะทำตัวดีขึ้น
  • คนเป็นผู้บริหารต้องเหนื่อยหน่อยล่ะ ถ้าไม่เหนื่อยก็ไม่ประสบผลสำเร็จ...

ท่านเล่าให้ฟังด้วยว่า ตอนเรียนระดับปริญญาเอก ท่านทำวิจัยอยู่ ๓ เรื่อง โดยใช้ KM เป็นเครื่องมือ  ท่านใช้ทุนตนเองจัดอบรมครูเทศบาล ให้ระดมสมอง ท่านบอกว่า "...พอคอนเซ็ปออกมา หนักตัวไหน เอาตัวนั้น...จัดอบรม ๓ วัน วันที่ ๒ ได้เป็นแนว วันที่ ๓ จะได้แนวทางการแก้ปัญหา ... แบ่งครู เป็นกลุ่มๆ ตามกลุ่มสาระฯ แล้วตั้งคำถามว่า "ทำอย่างไร เด็กถึงจะอ่านออก เขียนได้" แล้วก็ให้ช่วยกันคิดรูปแบบการแก้ปัญหา แล้วนำมาบูรณาการกัน แล้วสร้างเป็นโมเดล เสร็จแล้วเราก็ทำคู่มือส่งโรงเรียน ...  ถ้าเราคิดแล้วโยนลงไปให้เขา เขาจะรู้สึกว่าถูกดูถูกเขา... จะไม่ค่อยยอมรับกัน ยอมรับยาก นอกจากจะเป็นส่วนที่เขาคิดเอง

สรุปว่า ผมเจอ ผอ. นักปฏิบัติ เข้าแล้วครับ .... คงต้องเล่าเรื่องของท่านให้ใครๆ ได้ฟังอีกต่อไป ...


























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น