วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

จิตตปัญญากับการพัฒนาบุคลิกภาพนักเรียน ณ โรงเรียนผดุงนารี

วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ผมกับคุณเสือ ในฐานะตัวแทน CADL ได้รับเชิญจาก โรงเรียนผดุงนารี อ.เมือง จ.มหาสารคาม  ผ่านทางอาจารย์ฉวีวรรณ (ครูป๋อง) สมาชิก PLC ครูสอนดีของเรา ขอบคุณท่านที่ให้โอกาสมา ณ ที่นี้ด้วย ครับ





เราไปถึงตรงเวลาพอดี และเรามีเวลาเพียง ๒ ชั่วโมง เพื่อทำให้เด็กๆ เข้าใจว่า "จิตตปัญญา" จะไปพัฒนา "บุคคลิก" ของพวกเขาได้อย่างไร ....หลังกิจกรรม ผมทำให้นักเรียนทุกคน ปรากฎผลว่า เราประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งครับ ต้องบันทึกไว้เผื่อจะมีประโยชน์ สำหรับเพื่อนกระบวนกร ดังนี้ครับ

ขั้นที่ ๑ กระตุ้นแบบกระตุก ให้ "ฉุกใจคิด" "สงสัย" เพื่อเปิดใจให้เรียนรู้

สัมผัสบรรยากาศแรกต่อหน้านักเรียนเกือบ ๑๕๐ คน ผมประเมินได้ว่า นักเรียนที่นี่ "สมาธิดี ใฝ่เรียน" เหมือนจะตั้งใจตั้งหน้าเพื่อมาฟังมารับเอาเทคนิคดีๆ ที่จะนำไปใช้ในการเรียนในการสอบ .... นั่นเป็นความคาดหวังที่เป็น "กำแพง" ที่ต้อง "พัง" ลงก่อนอันดับแรก .....

วิธีของผมคือการ "กระตุก" ด้วยคำถามสู่ความจริงที่นักเรียนไม่เคยรู้ เพื่อกระตุ้นให้สงสัยและตรวจสอบกับ "ใจ" และ "จิต" ของตนเอง เช่น
  • ...เมื่อตะกี้นี้ได้ยินเสียงแอร์ไหมครับ...... ขณะฟังเสียงแอร์เมื่อตะกี้นี้ รู้สึกว่ากำลังหายใจไหมครับ......   ความจริงคือ "จิตใจ" ของเรา "รับรู้" หรือทำอะไรๆ ได้ทีละอย่างเท่านั้น .... อันนี้ทุกคนต้องยอมรับ ....... (ถามย้ำว่าเห็นด้วยหรือไม่ หากส่วนใหญ่ยังส่งสายตาไม่เข้าใจ อาจต้องให้ทำกิจกรรมตัวอย่างอีก..)
  • ...มนุษย์ใช้รับรู้ ใช้อะไรฟัง?... เด็กๆ ตอบทันทีว่า ใช้หูฟัง (เก่งมาก...มีใครใช้ตาฟังไหมครับ...ฮา) ... แล้วทำไมตอนฟังอาจาาย์พูด ถึงไม่ได้ยินเสียงแอร์ล่ะ ... หรือตอนที่กำลังฟังเสียงแอร์ ไม่รู้สึกว่ากำลังหายใจล่ะ.... หรือหูเลือกรับบางเสียง....ความจริงคือ เราใช้ "ใจ" ฟัง ใช้ใจรับรู้ โดยใช้ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย เป็นเครื่องมือ.. รวมทั้งใช้ "จิตใจ" คิดโดยใช้สมองเป็นเครื่องมือ....สรุปคือ "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ" 
  • ...เคยไหมที่ เวลาเราเจอเพื่อน หรือใคร ทำอะไรดีๆ เข้าท่าๆ เราก็คิดว่า เราก็น่าจะทำได้  แต่พอมาทำกลับทำไม่ได้ ....ความจริงคือ การทำงานของสมองส่วนที่รับรู้ เป็นคนละส่วนกับที่ใช้ในการทำหรือสื่อสารสู่ผู้อื่นๆ....ดังนั้น เคล็ดลับสำคัญในการเรียนรู้คือ เรียนให้เป็น "วงจร" ที่มี "อินพุต- เอาท์พุต" รับเข้า-ส่งออก เสมอ ...
  • ฯลฯ
 ขั้นที่ ๒ เตรียมภาชนะ

เมื่อยอมรับในเบื้องต้นว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน"  การเรียนรู้เกิดที่ใจ เก็บไว้ในใจ โดยใช้สมองและอวัยวะต่างๆ หรือร่างกายเป็นเครื่องมือ  สิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการออกแบบการเรียนการสอนคือการ "เตรียมใจ" ให้พร้อม ๓ องค์ประกอบ ได้แก่ "มีสติ" "มีสมาธิ" และ "ว่าง" อันหลังสุดภาษาทั่วไปเรียกว่า "ผ่อนคลาย" ศาสตร์ทางจิตตปัญญาบอกว่า คนจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อผ่อนคลาย....  วิธีของผมที่เอามาใชในระยะเวลาอันจำกัดนี้คือ กิจกรรม Scan Body


สำหรับผมแล้วการทำกิจกรรม Scan Body  เป็นการ "พาใจ" มาอยู่กับตัว วิธีการไม่ตายตัวยึดติด อาจจะทำแบบ "ดังตฤณ" ที่ผมจำมาปรับใช้คือ เริ่มจากปลายเท้าไล่าขึ้นสู่หัว ข้ามกระหม่อม มาหน้าผาก หัวคิ้ว ปลายจมูก และอยู่กับลม... หลักคือ ให้ทำจากเร็วไปช้า จากหยาบไปละเอียด เพื่อผ่อนเครียดให้คลาย เป็นอันใช้ได้

ขั้นที่ ๓ กิจกรรมต่างๆ ให้ทำแล้วนำสะท้อนก่อนสรุป เพื่อให้ได้เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ของใจตนเอง

เราใช้กิจกรรมหลายครับ เริ่มตั้งแต่ กิจกรรมส่งสารผ่านมือ ที่ผมชอบใช้ประจำ และได้ผลทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกันครับ เด็กๆ ชอบและสนุกทีเดียว  ... คำถามสำหรับการ "สะท้อนผล" ที่ผมชอบใช้คือ หากนักเรียนนำกิจกรรมนี้ไปใช้กับรุ่นน้อง พวกเขาจะสอนอะไรน้อง ได้บ้าง....
  • ให้นักเรียนนั่งล้อมเป็นวงกลม มือประสานกันให้ครบบรรจบวงไม่ขาดตอน
  • กำหนดให้นักเรียนคนหนึ่งเป็นคนเริ่มส่งสัญญาณไปยังเมือซ้าย ผู้รับสัญญาณจากมือขวา ทันทีที่ได้สัญญาณมา ให้ส่งต่อให้เพื่อนด้วยมือซ้ายทันที 
  • สัญญาณแรกๆ ที่เราส่งคือการบีบมือง่ายๆ แต่ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะส่งไปได้สำเร็จ โดยเฉพาะวงใหญ่ขนาดเกือบร้อยแบบนี้....


 


  • กิจกรรมเดินตามใจ จับคู่คนใกล้ แล้วให้เผยคำตอบ ๒ แบบ ได้แก่ ตอบทันทีที่ถาม คิดก่อนแล้วค่อยตอบ เพื่อให้นักเรียนได้เห็นว่าตนเอง มีคำตอบโดยอัตโนมัติ เหมือนไม่ได้คิด และรู้ว่าตนเองกำลังคิดสำหรับคำตอบหลัง 

  • อีกกิจกรรมหนึ่งคือการสอนให้รู้จักทฤษฎี "กดปุ่ม" (ผมเคยเขียนไว้ที่นี่ครับ) โดยใช้กิจกรรม "ตีมือดูใจ" ที่ให้นักเรียนจับคู่ตีมือสลับกันไปมา ๓ ขั้นตอน คือ ตีโต้กลับกันทันที  ขั้นตอนแรกนี้ตีกันไปมา สนุกสนาน ต่อมาให้พยายามตีกลับด้วยน้ำหนักที่โดนเพื่อนตี และขั้นสุดท้าย ให้ฝ่ายหนึ่งตีเต็มแรง ฝ่ายถูกตีไม่โต้กลับ แต่ให้สังเกตความรู้สึกของตน หลังจากหายเจ็บ หายแค้นแล้ว ให้ค่อยๆ ยื่นมือไปจับแขนเพื่อนเบาๆ แล้วบอกว่า "..ไม่เป็นไรเพื่อน เราให้อภัย".....เสียงฮาดังทั่วห้องทีเดียวครับ ..... 


  •  ทุกกิจกรรม สำคัญว่า ต้องให้นักเรียนได้สะท้อนว่า ได้เรียนรู้อะไร เลือกยื่นไมค์ให้นักเรียนที่มีแววจะเป็นขวัญใจของทุกๆ คน ....  ก่อนจะให้สะท้อนครั้งสุดท้ายด้วยการเขียนลงกระดาษ 



ต่อไปนี้เป็นข้อความที่เด็กเขียนมา จับเอามาเฉพาะประเด็นนะครับ
  • หายเบื่อ หายง่วง สนุกสนาน 
  • ได้ทั้งความรู้และความสนุก ประทับใจตมากค่ะ
  • ได้รู้จักธรรมชาติของจิตใจตนเอง
  • ทำให้มีสติ อดทน อดกลั้น และยับยั้งจิตใจตนเองให้หลุดพ้นจากความโกรธแค้น 
  • ทำให้เกิดความสามัคคีต่อกันและกัน 
  • รู้จักให้อภัยเพื่อนๆ ไม่โกรธแค้น
  • ได้เรียนรู้กระบวนการคิด และการปฏิบัติอื่นๆ 
  • รู้ว่าเราควรจะปฏิบัติตนอย่างไรเมื่อถูกกระทำ
  • ทำให้มีแรงบันดาลใจที่จะหาสิ่งที่เราชอบเราถนัด
  • ได้รับความรู้มากมายและมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมด้วย
  • รู้สึกผ่อนคลาย สบายๆ 
  • ให้จิตเป็นสมาธิ เรียนรู้การอดกลั้น ไม่ให้โดน "กดปุ่ม" ง่ายๆ 
  • รู้จักการปล่อยวาง
  • อยากให้มีกิจกรรมดีๆ แบบนี้อีกต่อไปเรื่อยๆ 
  • อย่างให้มีกิจกรรมแบบนี้บ่อยๆ เพราะเป็นกิจกรรมที่เข้าถึงตัวเราได้จริงๆ สามารถนำไปใช้ได้จริง 
  • ฯลฯ 

ผมไม่รู้ว่าเด็กๆ จะสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้และความประทับใจในวันนั้นไปปรับใช้จริงหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจว่า หากพวกเขาทดลองนำไปใช้จริงๆ กับตนเอง บุคลิกภาพของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอนครับ

ดูรูปทั้งหมดได้ที่นี่ครับ 


ผมยินดีรับค่าตอบแทนจำนวน ๑,๕๐๐ บาทจากท่านผู้จัดงาน พร้อมกับบอกท่านว่า ผมจะนำเงินจำนวนนี้รวมไว้เป็นทุนสนับสนุนการดำเนินงานของ CADL เพื่อพัฒนานักเรียน และได้ส่งให้คุณอ้อฝ่ายเลขาฯของเราจัดเก็บตามเจตนารมย์แล้ว  ขอบพระคุณท่านมากครับ ที่ให้โอกาสเราได้ทำความดีครั้งนี้ 

๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
ฤทธิไกร

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เรียนรู้จากเทศกาล ละครเมืองคาม ครั้งที่ ๑ ตอน "มดสร้างโลก"

วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ผมเดินทางกลับจากเชียงคานด้วยความตื่นเต้นเพื่อมาร่วมงานเทศกาล "ละครเมืองคาม" และร่วมเป็นผู้แสดงทัศนะในการเสวนาเรื่อง "เรียนรู้นอกห้องเรียน" ซึ่งผมถือว่าได้รับเกียรติอย่างสูงยิ่ง ผมระลึกในใจว่าคงเป็นเพราะคุณครูเพ็ญศรี ใจกล้า แนะนำผมกับทีมผู้จัดงานเป็นแน่ อย่างไรก็แล้วแต่ ผมตั้งใจมาทั้งวันว่า เย็นนี้จะทำให้ดีที่สุด ....  (ขอบคุณคุณอา กับ อ.ปั้บ ไว้ ณที่นี่ด้วยครับ)


ผมได้เรียนรู้หลายอย่าง ในขณะที่นั่งดูละครเร่ของนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ และได้เรียนรู้จากมุมมองที่คมกริบของ อาจารย์ "ก๋อย" วิทยากรอีกท่านจาก "กลุ่มมะขามป้อม" ที่เป็นต้นโพธิ์ใหญ่ในเรื่องนี้ ที่มีเครือข่ายเป็น อ.ปั๊บ ซึ่งเป็นผู้นำมาสู่ มหาสารคาม และทำให้เกิด "ละครเมืองคาม" ในวันนี้

ละครของเด็กจากโรงเรียนบ้านส่องตอนหนึ่งตอนหนึ่งสะท้อนความจริงจากใจเด็กๆ ผมทราบมาว่าละครที่แสดงวันนี้เด็กๆ เป็นผู้เขียนบทเอง ผมจึง "หยิบ" เอาฉากนี้ไปพูดบนเวที ดังนี้ครับ

...ก่อนถึงเวลาเรียน เด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่ใต้ต้นหูกวางใบใหญ่ แต่ละคนร่าเริงแจ่มใส ใบหน้ามีรอยยิ้มและส่งเสียงหัวเราะ แต่พอสัญญาณเข้าเรียนของโรงเรียนดังขึ้น มีเสียงจากเด็กดังขึ้นว่า "...ว้า หมดสนุกแล้วซิ"..... ด้วยบทละครประโยคนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ในความเห็นของเด็ก การเรียนในห้องเรียนเป็นเรื่องไม่สนุก  สำหรับเด็กแล้ว การทำอะไรที่ไม่สนุกจะทำให้พวกเขามีความสุขกับสิ่งนั้นย่อมยากยิ่ง ส่งผลไม่เกิดการเรียนรู้ (ผลงานวิจัยทั่วโลก ทั้งทางด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยา ชี้ตรงกันว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อสมองผ่อนคลายไม่เครียด หรือก็คือการเรียนอย่างมีความสุข สนุกที่ได้เรียนนั่นเอง)

ผมไม่รู้ว่าเด็กจากโรงเรียนไหนบ้างที่สามารถเชื่อมโยง "ละคร" กับ "การเรียนรู้" เป็น "การเรียนรู้แบบรู้จริง" ซึ่งต้องใช้สถานการณ์จริงหรือปัญหาจริงๆ ของชีวิต เพราะผมไม่ได้สัมผัสและติดตามโรงเรียนที่มาแสดงทั้งหมด แต่สำหรับเด็กๆ กลุ่ม "ฮักนะเชียงยืน" จากโรงเรียนเชียงยืนพิทยาคม  ที่ผมได้มีโอกาสเรียนรู้กับเขาพอควร (อ่านได้ที่นี่ และที่นี่ครับ) พวกเขาได้เรียนรู้นอกห้องเรียนผ่านละครเร่ครั้งนี้มากโขทีเดียว...

กว่าจะมาเป็นละคร "วิถีชีวิตอินทรีย์" นักเรียน "ฮักนะเชียงยืน" กลุ่มนี้ ได้ลงศึกษาปัญหาจริงในพื้นที่ชุมชนบ้านแบกเรื่องการทำเกษตรตามพันธะสัญญาที่ใช้สารเคมีมาหลายปี พวกเขาพยายามพิสูจน์สมมติฐานต่างๆ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ผ่านการเรียนรู้ด้วยโครงงาน (PBL) มีการนำดินไปตรวจสภาพ ตรวจเลือดของชาวบ้าน ศึกษาข้อมูลจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ หรือเกษตรอำเภอ รวมถึงการทดลองเปรียบเทียบการงอกของเมล็ดพันธุ์จากบริษัทด้วยโครงงานแบบทดลองของพวกเขาเอง ฯลฯ กิจกรรมที่ได้ลงมือปฏิบัติ ลองผิดลองถูกกับปัญหาจริง สถานที่จริงแบบนี้ ทำให้ทักษะด้านการเรียนรู้ของพวกเขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการชวนลูกหลานบ้านแบกมาเป็นน้องใหม่ในทีมเพื่อแก้ปัญหาด้วยใจอาสา ทำให้พวกเขาเห็นคุณค่าและความหมายของกิจกรรมนี้ กอปรกับการนำเอาประสบการณ์ด้านกระบวนการและการทำงานทำงานเป็นทีมของรุ่นพี่ "ฮักนะเชียงยืน" มาใช้ ทำให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมในการทำความดีร่วมกัน...

การแสดงละคร "วิถีชีวิตอินทรีย์" จึงเป็นขั้นตอนสะท้อนผลการเรียนรู้ของทั้งตนเองและนำเสนอสาระสู่ผู้อื่นและชุมชน ผมฟังว่า เด็กๆ ต้องปรับบททดลองแสดงกันหลายรอบกว่าจะมาเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมในวันนี้  การเรียนรู้ด้วยใจที่ใคร่ครวญพิจารณาเป็นวงจรแบบนี้ จะทำให้แต่ละคนได้เรียนรู้วิธีเรียนรู้ของตนเอง หรือก็คือการเรียนรู้ตนเองนั่นเอง ปลายทางของกระบวนการนี้ พวกเขาจะค้นพบความสามารถของตนเอง เข้าใจในความถนัดและความชอบของตนเอง สิ่งนี้จะส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตของพวกเขาโดยตรง .... แน่นอนครับ...ผมกำลังพูดถึง กำลังสำคัญของประเทศชาติ

อย่างไรก็ตาม หากไม่มีครูเพื่อศิษย์ที่รู้วิธีการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ ดังได้กล่าวมาข้างต้นนี้  โอกาสที่เด็กๆ จะตกลงไปในร่อง "น้ำเน่า" ผมหมายถึงละครน้ำเน่า ที่มักจะเกิดจากการ "นั่งคิดเอา" แม้บทจะดี เรื่องราวดีอย่างไร แต่เด็กๆ จะได้เฉพาะ "ทักษะการนำเสนอ" เราจะได้แต่เด็กที่อยากเป็นดารา นักแสดง แทนที่เป็นการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะชีวตของพวกเขา






วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

"เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลง" ผ่านกิจกรรมจิตอาสา จากกลุ่มนักเรียน "ฮักนะเชียงยืน" (๒) AAR

วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗  กลุ่มนักเรียน "ฮักนะเชียงยืน" ลงพื้นที่ทำโครงงานจิตอาสาพัฒนาชุมชน โดยใช้เครื่องมือ "ละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง"  ผม ดร.เพชร และนิสิตอีก ๒ คน ได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย ผมได้เรียนรู้คุ้มค่ายิ่งกับการมาครั้งนี้ ดัง AAR ต่อไปนี้

สะท้อนการเรียนรู้ของตนเอง

ข้อมูลที่รู้จากคนในพื้นที่
  • "สาเหตุการตายของคนแถวนี้ ๙๘ เปอร์เซ็นต์ คือ มะเร็ง" 
  • "อายุเฉลี่ยของคนตายลดลงจาก ๘๐-๙๐ ปี เป็น ๖๐-๗๐ ปี"
  • โอกาสของชุมชนบ้านแบกและชุมชนใกล้เคียงคือ "มีน้ำ" (มีคลองส่งน้ำ ๒ สาย) แต่ปัญหาคือ หอยเชอร์รี่ และ การปลูกแตงที่ "เงินดีแต่มีพิษ" 
  • ชาวบ้านแบกปลูกผักปลอดสารพิษกินเอง และพอกินในหมู่บ้านด้วย 
  • ปัญหาจริงๆ ของชาวบ้าน น่าจะเป็น "ความไม่พอเพียง" การบริโภคแบบทุนนิยม แข่งขันกันหาสตางค์ อวดมั่งอวดมี
  • การปลูกแคนตาลูปตามพันธะสัญญา สร้างรายได้ให้ชาวบ้านสูงสุดถึงไร่ละ ๒ แสนต่อปี ... ขณะนี้ไม่มีอะไรที่จะทำให้พวกเขาหยุดทำได้......
  • ชาวบ้านบางคนมีความเชื่อว่า การทำนาโดยใช้ปุ๋ยเคมีได้ผลิตมากกว่าการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ถึง ๓ เท่า....(ตีความจากข้อมูลที่ได้จากการฟัง ถ้าไม่ใช้ได้ไร่ละ ๓๐๐ กิโล ถ้าใช้ได้ไร่ละ ๑ ตัน)
  • ผู้นำชุมชนมีประสบการณ์ไปศึกษาดูงานมาแล้วหลากหลายที่ มีความรู้เพียงพอ แต่ก็ไม่ทำเป็นตัวอย่างชาวบ้าน และ(ดูเหมือน)ไม่มีความมุ่งมั่นหรืออุดมการณ์ที่จะช่วยชาวบ้านในเรื่องนี้ ... หรืออาจเป็นเพราะท้อแท้ต่อการรณรงค์ไปแล้ว ....
  • ชาวบ้านมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการป้องกันตัวจากยาฆ่าแมลง คือ เข้าใจว่า การสวมเสื้อและถุงมือหลายชั้นจะป้องกันได้ แต่เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลยืนยันชัดว่า ไม่ใช่ ... ต้องใช้ชุดที่ทางบริษัทให้มาอย่างเคร่งครัดเท่านั้น ..... แม้กระนั้นก็ป้องกันไม่ได้ทั้งหมด 
  • สาเหตุอีกประการ ซึ่งเป็นจุดอ่อน จุดตาย คือ ความมักง่าย ไม่เคร่งครัด เช่น .... ใช้มือคนสารพิษโดยตรง ไม่สวมชุดป้องกัน ฯลฯ 
  • ชาวบ้านปลูกแคนตาลูปตามพันธะสัญญา บอกว่า บริษัทมารับซื้อเมล็ด ส่งไปขายเมืองนอก .... ส่วนเนื้อหอมหวานหลังปอกเปลือก ส่งขาย มมส. ....ฮา
 สะท้อนสิ่งที่สังเกตเห็น
  • นักเรียนน้องใหม่ของกลุ่ม "ฮักนะเชียงยืน" (๘๐ เปอร์เซ็นต์ ของทั้งหมด เป็นลูกหลานบ้านแบก) ตระหนักถึงอันตรายจากการใช้สารเคมี น้องเจมส์ บอกว่า หากพ่อแม่ตายายส่งเขาเรียนจนได้ใบปริญญา มันจะมีค่าอะไร ถ้าพ่อแม่ตายายต้องมาตายเพราะยาฆ่าแมลง...  ผมประทับใจตอนนี้มากครับ ทั้งเจมส์และยาย (ผมเข้าใจว่าเป็นยาย) ต่างคนต่างร้องไห้ เมื่อพูดถึงประโยคนี้ 
  • กระบวนการและโครงการของ "ฮักนะเชียงยืน" ได้บรรลุผล "หมุด" หนึ่งแล้ว ....  ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เจมส์ ไงครับ ... กำลังตระหนักเปลี่ยนจากภายในเลยล่ะครับ 
  • ผมเห็นชาวบ้าน อายุระดับยาย มากหลายคน อายุเฉลี่ยน่าจะ ๗๐ ปี (ผมประมาณเอง) มาช่วยกันทำขันหมากเบ็ง ... ผมคิดว่าชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมี น่าจะเป็นคนรุ่นถัดจากนี้ 
  • แสดงว่า ตัวอย่างการเสียชีวิตของ คนอายุ ๕๐ ปี ๒ คน ที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง เป็นผลจากสารเคมีจากการปลูกแคนตาลูปตามพันธะสัญญาจริงๆ ชัดๆ
  • ชาวบ้านยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกใช้สารเคมี 
สะท้อนกลับด้านกระบวนการ เพื่อการพัฒนา
  • ขาดลำโพง .... สำหรับการแสดงไม่มีปัญหา ดึงสมาธิคนดูได้หมด แต่ตอนที่มาเสวนา หัวหน้า "เอ็ม" ที่พูดน้ำเสียงสุภาพ เบา โมโนโทน อาจต้องใช้ไมโครโฟน ช่วยดึงสมาธิและคุมวง
  • จัดวิธีนั่งให้ดีได้กว่านี้อีก  หลักการ คือจัดวงนั่งให้ทุกคนรู้สึกว่าอยู่ในวง ไม่ได้อยู่นอกวง สลับสับระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครองก็ได้ 
  • สามารถออกแบบกิจกรรมให้ทุกคนมีส่วนร่วมให้มากขึ้น โดยเฉพาะคนสำคัญ ๒ คน คือ นักเรียนลูกหลานบ้านแบกกับผู้ปกครองของเขาเอง ถ้าออกแบบคำถามที่ให้ ๒ คนนีต้องปรึกษาหาคำตอบร่วมกัน จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาและปัญญาของพวกเขา ..... เป็นต้น 
  • ควรเน้นให้เกิดการเสวนาแบบ ภายในสู่ภายนอก จากล่างขึ้นบน และจากปฏิบัติไปสู่ทฤษฎี กล่าวคือ 
    • ภายในสู่ภายนอก หมายถึง คุยเรื่องของตนเอง จากใกล้ตัว ครอบครัว ไปสู่ชุมชน ผลกระทบ 
    • จากล่างขึ้นบน หมายถึง เริ่มคุยจากผู้พูดน้อย อายุน้อย ประสบการณ์น้อยก่อน แล้วค่อยให้ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ พูดทีหลัง .... โดยมากทำแบบนี้ จะได้ผู้ฟังทั้งกลุ่ม ...เช่น ให้ชาวบ้านผู้ปฏิบัติหรือน้องใหม่ลูกหลานบ้านแบกเป็นผู้พูดก่อน แล้วค่อยให้วิทยากรจากกาฬสินธุ์ หรือเกษตรอำเภอพูดทีหลัง 
    • พูดจากปฏิบัติไปสู่ทฤษฎี คือ การเน้นมิติของการแลกเปลี่ยน มากกว่าการถ่ายทอดความรู้ หรือแนะนำพร่ำสอน....  การให้นักวิชการ พูดก่อน โอกาสที่ชาวบ้านจะ "นอน" ก็เยอะครับ...
  • ความเชื่อมโยงจาก "ละครสู่ชีวิต"ทำน้อยเกินไป ....  ละครสามารถดึงชาวบ้านได้หมด แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากละครเท่าที่ควร เหมือนชาวบ้านจะชอบใจและสนุก แต่ความหมายและคุณค่าที่ซ่อนอยู่ใน "บทละคร" ไม่ได้ถูก "ย้อน" สู่ใจชาวบ้าน.... ละครจึงกลายเป็น "หนังขายยา" ไป....(ขออภัยอาจแรงไป... แต่ความเชื่อมโยง "เรื่องราว" สำคัญยิ่ง)

คำถามและคำแนะนำ
  • ทำไมละครดีๆ จึงต้องมีแค่ ๑๐ นาที 
  • ศึกษาบันทึกข้อมูลเชิงลึก จากการสัมภาษณ์ ให้รู้วิธีการและจำนวนแน่ชัด เช่น วิธีการและขั้นตอนการทำเกษตรตามพันธะสัญญา (วาดโฟลชาร์ตได้) วิธีการปลูก ตั้งแต่ต้นจนขาย รายได้ ตุ้นทุน กำไร ค่าใช้จ่าย ฯลฯ
  • ศึกษาพืชชนิดนี้อย่างละเอียด คืออะไร ทำเหมือน "กบนอกกะลา" สืบหา "วงจร" ตั้งแต่ต้นจนขายเมืองนอก และปริมาณที่ส่งไปขายที่ มมส.....  ฮา
  • ศึกษาเรื่องสารเคมีเหล่านั้น ยาฆ่าแมลง......  ศึกษาทางเคมี..... 
  • ฯลฯ 



วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

"เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลง" ผ่านกิจกรรมจิตอาสา จากกลุ่มนักเรียน "ฮักนะเชียงยืน" (๑)

วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ผมไปเรียนรู้กับกลุ่มนักเรียน "ฮักนะเชียงยืน" ที่ หมู่บ้านแบก อ.เชียงยืน  ที่จัดกิจกรรมแสดงละครสะท้อนปัญหาจริงในชุมชน และต่อด้วยการจัดเสวนาชาวบ้านโดยมีเกษตรอำเภอ เกษตรคลื่นลูกใหม่จากกาฬสินธุ์ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ เข้าร่วมให้ความรู้ในครั้งนี้ด้วย

ผมเองไม่ได้ไปคนเดียวครับ มี ดร.เพชร จากคณะวิศวะ และนิสิตอีกในที่ปรึกษาอีก ๒ คน นอกจากนี้แล้ว การแสดงละครครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการของ อ.ปั๊บ จากคณะดุลยางคศิลป์ที่เข้าไปส่งเสริมนักเรียนและนักศึกษาในสถาบันต่างๆ ให้ใช้การแสดงละครสะท้อนปัญหาและสร้างความตระหนักให้กับสังคม หรือก็คือ "ละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง"


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่ม "ฮักนะเชียงยืน" ลงพื้นที่ทำกิจกรรมจิตอาสาในหมู่บ้านนี้ ติดตามอ่านงานของพวกเขาอย่างละเอียดได้ที่นี่  ครั้งนี้เป็น "วงเรียนรู้" รอบที่สองของการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมจิตอาสา ครั้งแรกที่มาพวกเขาเป็นผู้แสดง แต่ครั้งนี้พวกเขามาเป็นพี่เลี้ยงให้น้องใหม่ในกลุ่มได้แสดงบ้าง (มีบางคนร่วมแสดงด้วย) .... ผมคิดว่า กระบวนการแบบ "ชวนคิด พาทำ และร่วมทำ" แบบนี้แหละคือชุมชนเรียนรู้ที่แท้จริง ....

ผมสังเกตว่า ตนเองยิ้มตลอดการแสดงที่ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที  อาจเป็นเพราะทั้งชื่นชมและภูมิใจที่ได้มามีส่วนร่วมกับกิจกรรมทำความความดีของพวกเขา ผมสังเกตว่าเด็กๆ สนุก และมีความสุขในการแสดงละครครั้งนี้มาก เห็นความมั่นใจในการแสดงบทบาทของตนเอง ผมไม่เห็นใครเลยที่จะ "ยึกยัก ลังเล มองข้าง" ทุกคนชัดเจน ในบทของตนเองมาก

ผมถาม อ.ปั๊บ ว่า นักเรียนกลุ่มนี้แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ ที่ร่วมโครงการ "ละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง" หรือไม่อย่างไร ท่านตอบว่า นักเรียนกลุ่มนี้ทำงานกันอย่างเป็นกระบวนการมากที่สุด มีการวางแผน ประชุมกัน ทดสอบแสดง สะท้อนตนเอง ผลัดกันสะท้อนป้อนกลับ ปรับเปลี่ยนบทใหม่ ฯลฯ .... นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่า นักเรียนกลุ่ม "ฮักนะเชียงยืน" ได้นำกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ ที่พวกเขาได้รับการพัฒนาจาก "วงเรียนรู้" รอบแรกมาใช้จริงๆ จนเห็นผลจริงแล้ว....

เรื่อง(ละคร) มีอยู่ว่า  วิถีชีวิตของชุมชนบ้านแบกแต่เดิมไม่มีอะไรอันใดยุ่งยาก ผู้คนก็อยู่กันด้วยความสุขตามวิธีชาวบ้าน ตัวละควรคนสำคัญคือ ตาถาวร ฉากหนึ่งแกต้องตะโกนปลูกลูกสาวที่นอนตื่นสายโด่ง ออกไปช่วยแกทอดแห "งม" ปลา ซึ่งไม่ได้มีปัญหาว่าขาดแคลนทุกร้อนใดๆ เรียกว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" แบบนั้นเลย แต่ต่อมามี "ของฟรี" มาแจก  เป็นเมล็ดพันธุ์ "แตงโมฝรั่ง" (แคนตาลูป) บอกว่าชาวบ้านไม่ต้องลงทุนอะไร เพียงแค่ "ลงแรง" นิดหน่อย ทุกอย่างบริษัทจะมาจัดการให้ ทั้งค่าแรง ค่าปุ๋ย ค่าสารเคมี ถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็มีผู้มารับซื้อทันที .... ชาวบ้านเกือบทั้งหมด "เห็นดี" เอาด้วย ยกเว้นตาถาวร...


ในเวลาผ่านไปเพียงปีเดียว ชาวบ้านใช้คำว่า "ได้เงินเร็ว" รายได้จากการปลูกแคนตาลูปตามพันธะสัญญา ทำให้ชาวบ้านมีเงินซื้อ มอเตอร์ไซต์ รถยนต์ โทรศัพท์ ฯลฯ บทละครตอนนี้ เด็กๆ เขียนบทและแสดงได้ดีมากๆ ครับ ผมรู้สึกว่านักเรียนทุกคนมีบทของตนเองตลอดเรื่อง มีการส่งเสียงฮือฮา แสดงถึงความ "อิจฉา" และ "อยากมีบ้าง" ของชาวบ้าน .... เว้นแต่ ตาถาวร ที่ยังคงยึดมั่นในการทำเกษตรอินทรีย์ต่อไป ...

เวลาผ่านไปไม่กี่ปี ชาวบ้านเริ่มมีผื่นคันตามตัว ปวดตามตัว อาเจียน เวียนหัว และล้มป่วย เป็นผลของการใช้สารเคมีในการทำการเกษตรตามพันธะสัญญา  ชาวบ้านเริ่มเข้าใจและเห็นปัญหา และหันกลับมาเรียนรู้และทำเกษตรปลอดสารพิษตามตาถาวร "ปราชญ์เดินดิน" ของชุมชนบ้านแบก .....

ต่อมา "เอ็ม" นำทีมนักเรียนจัดเสวนาปัญหาชาวบ้าน ผมกระโดดร่วมไปแจมด้วย (ทนไม่ไหว อยากมีส่วนร่วม...ฮา) .... ได้เรียนรู้อะไรๆ เยอะมากครับ บันทึกต่อไปจะมาเล่า AAR ให้ฟังครับ



ดูรูปทั้งหมดได้ที่นี่ ครับ