วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ขับเคลื่อน PLC ที่ สพป.3 มหาสารคาม_11-12: เวทีครู "มองเด็กรายบุคคล มองตนอย่างเป็นกลาง ร่วมกันหาทางกับกัลยาณมิตร"

 วันที่ 13-14 กรกฎาคม 2556 ทีมขับเคลื่อน PLC มหาสารคาม จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ชุมรมเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ มีครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 3 จำนวน 138 ท่าน จาก 14 โรงเรียน เป้าหมายสำคัญ คือ สร้างแรงบันดาลใจ ปลุกพลัง "เพื่อศิษย์" ในตัวครู  เพื่อให้พันธกิจ ทำ 2 ช่วยครูเปลี่ยน 3 ของเรา ให้ขยับขับไปต่อไป 

ดูภาพทั้งหมดได้ที่นี่ครับ

เราเริ่มการประชุมด้วย การทำ BAR เดี่ยว ด้วยกระดาษ "เป-อิน" (ศน.ไชยยา ใช้คำนี้ครับ ผมเรียกว่ากระดาษ post-it) ทุกคนเขียนความคาดหวังของตนเอง ก่อนจะนำไปติดรวมกันให้อ่านของกันและกัน 



ผมสังเกตว่า ความคาดหวังส่วนใหญ่ เป็นคำถามประเภท "อะไร" และ "อย่างไร" เกี่ยวกับ PLC มีบ้างที่เป็นคำถาม "หน้างาน" เช่น จะแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกได้อย่างไร ฯลฯ  ส่วนคำถามประเภท "ทำไม" เกือบทั้งหมด  ไม่ค่อยเกี่ยวกับ "ศิษย์" ที่ถามกันเยอะที่สุดคือ "ทำไมต้องมาไกลขนาดนี้"  นอกจากนี้ยังมีคำถามความคาดหมายที่ต่างๆ ออกไปเกี่ยวกับ Coaching และ Mentoring  ผมคิดว่า คำถามเหล่านั้นเป็นเพียงผลสะท้อน หรืออิทธิพลจากชื่อของงานมากกว่า ..... ผมกล่าวตอนกล่าวปิดเวทีว่า หลังจากที่ได้อ่าน BAR แล้ว ผมรู้สึกหนักใจมาก  เพราะหลายๆ อย่าง ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดได้ในเวทีนี้  ส่วนสิ่งที่จะเกิดในเวทีนี้ ถึงแม้ว่าจะมีอยู่แล้วในตัวในใจครู แต่ก็คงอยู่ "ลึก" เข้าใปไม่น้อยทีเดียว  ภารกิจของเราจึงต้อง "ขุด" ให้สิ่งนั้น "ผุด" ออกมาให้เห็น "เห็นตนเอง" 


 ผอ.สมุทร สมปอง ไม่ใช่ "ผอ. รอเปิด" เหมือนกับ ผอ.เขต ทั่วไป ที่ผมเห็น  ท่านอยู่เรียนรู้กับเราด้วยตั้งแต่ต้น จนจบ เราเชิญท่านกล่าวปิดวงด้วยความสุขในตอนท้าย..... ขอบพระคุณท่านมากครับ 



  
หลังพิธีเปิด ผมนำเสนอภาพรวมของกิจกรรมทั้งหมด ที่จะเกิดขึ้นใน 3 วันนี้ คำสำคัญของงานนี้ คือ  "มองเด็กรายบุคคล มองตนอย่างเป็นกลาง และ ร่วมกันกำหนดแนวทาง "กระบวนการ" อย่างกัลยาณมิตร เพื่อ พัฒนาทักษะการคิดและปฏิบัติ ในศตวรรษที่ 21" 

เรา "มองเด็กรายบุคคล"  ด้วยกิจกรรม "กระดาษ 4 พับ จับจุด"  ใช้กระดาษ A4 พับแนวขวาง 2 ครั้ง จะได้ 4 คอลัมน์ แล้วพับแนวตั้งเป็น 3 แถว จะได้ตาราง 12 ช่อง แล้วให้พิจารณาเติมตามเป้าหมายแต่ละช่อง ดังรูป 



เริ่มเติมจาก 
  • คอลัมน์ที่ 2  โดยให้ "ครู" จินตนาการถึง "ศิษย์" แบบรายบุคคล ก่อนที่จะเขียนชื่อ (สมมติ) ของนักเรียนในชั้นที่รับผิดชอบที่อยากจะมอบรางวัล "การอ่าน" "การเขียน" และ "การคิด" ให้ 
  • คอลัมน์ที่ 3 ให้เขียนถึงปัจจัยสำคัญอะไร ที่ทำให้นักเรียนคนนั้นๆ ควรจะได้รับรางวัล 
  • แล้วกลับมาเขียนคอลัมน์ที่ 1 เล่าประสบการณ์ของความสำเร็จของตนเองในการสร้างหรือช่วยให้นักเรียนในคอลัมน์ที่ 2 มีลักษณะดังเขียนในคอลัมน์ที่ 3 
  • ส่วนคอลัมน์ที่ 4 ให้เป็นมุมมองของเพื่อน ที่อาจมีวิธีใหม่ๆ ดีๆ ที่จะแลกเปลี่ยน หลังจากที่เวียนขวาไปยังเพื่อนๆ แต่ละคน 
ในขณะที่เราทำกิจกรรมนี้ ผู้อำนวยการโรงเรียนและศึกษานิเทศน์ ได้แยกออกไปพูดคุยกับ ดร.สุมลวรรณ ในการทำบทบาทหน้าที่ Coach หรือครูฝึก และ Mentor เป็นพี่เลี้ยง หรือเป็นคุณอำนวยให้เกิดการพูดคุยกันต่อไป ในกรณีที่แยกกลุ่มย่อย ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นงาน ผลปรากฎว่าได้ผลค่อนข้างน้อยกว่าที่คาดไว้ 


หลังเบรคเช้า ก่อนจะนำเรื่องในคอลัมน์ที่ 1 ของกระดาษ 4 พับ มาแลกเปลี่ยนเรียนคู่ คือให้เล่าให้กันฟังเป็นคู่ๆ เราทำกิจกรรม Ice Breaking (ละลายพฤติกรรม) แบบมีสาระ ดังนี้ครับ 


แบ่งครูเป็นระดับชั้นแล้วให้จับคู่กัน โดยมีข้อตกลงว่าต้องเป็นเพื่อนต่างโรงเรียน นั่งหันหน้าเข้าหากัน  แล้วตามขั้นตอนต่อไปนี้ 
  • แนะนำตัวเบื้องต้น ตามแต่อัธยาศัย ซึ่งสำหรับชาวไทย โดยเฉพาะคนอีสาน ไม่ใช่เรื่องยากเลยครับ 
  • จากนั้นบอกให้ทุกท่านเตรียมตอบคำถามสำคัญ โดยเน้นให้ต้องเปิดใจให้แก่กัน หากใจของเราเปรียบเหมือน "ไข่แดง" ที่เพิ่งถูกตอกลงบนจานนูนขอบ สังเกตว่าจะมี "ไข่ขาว" อยู่รอบๆ ล้อมปิดไว้ เปรียบเสมือนใจที่ต้องการ "พื้นที่ปลอดภัย" ซึ่งจะทำให้ผ่อนคลายและมีสุข  เมื่อไข่อีกใบถูกตอกลงจานตามมา แทนที่ไข่แดงจะอยู่ชิดติดกัน แต่ดูเหมือนจะ "หันหลัง" หรือ "ปรจันหน้า" ก้้นด้วยไข่ขาว ราวกับเป็นกำแพง แสดงว่าพื้นที่ปลอดภัยยังเป็นของใครของมัน 
  • คราวนี้ลองจินตนาการถึง ไข่สองใบ ที่ตอกไว้บนจานพร้อมๆ กัน ไข่แดงจะใกล้ชิดติดรวม ใช้ไข่ขาวร่วมกัน เปรียบเป็นพื้นที่ปลอดภัย ที่ทั้งสองเปิดใจให้แก่กันและกัน .....ดังรูป
  • เมื่อสังเกตว่าพร้อม สมาธิเข้าที่ (ฟังจากเสียง จากสีหน้า) เราก็ถามคำถามว่า "ท่านจะไปอยู่ที่ไหน ในอีก 10 ปีข้างหน้า".....เสียงฮาก็เกิดขึ้นทันที ....เราเปิดโอกาสให้ครูได้สะท้อนความรู้สึก ความคิด 2-3 ท่าน  จากการสำรวจส่วนใหญ่นั้นจะ "แซว" เล่นๆ กันว่า "กำลังเลี้ยงหลาน"...ฮา
  • คำถามถัดมาถามว่า "อีก 3 ปี เราจะอยู่ที่ไหน จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงจากวันนี้บ้างไหม" ... ความจริงเราถามเพื่อจะมองหาว่า มีครูเพื่อศิษย์อยู่บ้างไหม ที่่ถ้าใช่จะบอกออกมาทันทีว่า จะทำความดีให้แก่ลูกศิษย์ ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีคิดวิธีสอนแน่ๆ เพราะตอนนี้ วิธีเดิมๆ ที่นั้นใช้ไม่ได้ผล  ทุกคนทั่วโลกเขากำลังมุ่งสู่ "การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21"
เราสังเกตว่า บรรยากาศยังผ่อนคลายไม่พอ เลยละลายพฤติกรรมต่อด้วย  กิจกรรม "ประสานมือสื่อความรู้สึก" 


  • ให้ครูสองท่านหันหน้าเข้าหากัน วางมือซ้ายประสานมือขวา วางมือขวาประสานมื่อซ้าย แล้วพักสายตาหลับลง เตรียมส่งผ่านความรู้สึกผ่านมือซ้ายของตนสู่มือขวาของคนตรงหน้า 
  • เริ่มด้วยการให้ส่ง "สัญญาณ" (อาจเป็นการบีบมือ) ผ่านไปยังมือซ้ายของคนเป็นพี่  เมื่อน้องรับสัญญาณทางมือขวา ให้สังเกต (ความจริงให้รู้สึก)ว่า น้ำหนักเท่าใด ลักษณะสัญญาณเป็นอย่างไร (ซึ่งต้องใช้ใจรับจากมือ) ก่อนจะส่งสัญญาณนั้นกลับไปให้พี่ทางมือซ้าย 
  • ส่งสัญญาณนั้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ สังเกตถึงความถี่ที่ทำได้เร็วที่สุด ที่ไม่สะดุดสงสัย แล้วค่อยๆ ผ่อนช้าลงๆ 
  • (ถึงตอนนี้ ผมเริ่มชี้ให้สังเกตความรู้สึก ที่ไม่ใช่ "นึกคิด" แต่เป็นสิ่งที่ "จิต" รับรู้มาจาก "กาย")
แล้วต่อกันด้วยกิจกรรม "ตีมือสื่อแทน การ "ห้อยแขวน" คำตอบ" ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้ "จิตวิทยาเชิงบวก" 


  • แต่ละคู่วางคว่ำมือไว้บนโต๊ะ อธิบายว่า จะเป็นกิจกรรม "ตีมือ" กันไปมา และให้ตกลงกันว่าใครจะตีก่อน 
  • คนตีก่อนใช้มือข้างที่ถนัด ตีลงมือของคู่ตน โดยครั้งแรกนี้ไม่ต้องทน ตีมาแบบไหน ให้ใช้มืออีกข้าง ตีกลับไปยังมืออีกทางของคนตีทันใด โดยต้องกะให้น้ำหนักพอๆ กัน ทดลองสัก 2-3 ครั้ง ...เสียงฮาดังสนั่นทีเดียวครับ
  •  สุดท้ายของกิจกรรมนี้ กำหนดให้คนอายุมากกว่า ซึ่งเราเรียกว่า "พี่" เป็นคนตี ตีแบบแรงๆ ตีแบบไม่ต้องยั้ง ตีให้เจ็บให้รู้สึกแบบชัดๆ ด้วยมือข้างถนัดเหมือนเดิม .... แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ "น้อง" ที่ถูกตี ไม่ให้ตีตอบกลับ  ให้ใคร่ครวญความเจ็บที่ได้รับ ซึ่งสัเกตว่ามันจะค่อยๆ หายไป   สังเกตที่ใจตนเอง....  แล้วยื่นมืออีกข้างไปวางบนหลังมือข้างถนัดของ "พี่" แล้วพูดว่า ..."ไม่เป็นไรครับ (ค่ะ)พี่ น้องให้อภัย"....
ผมสรุปกิจกรรม "ละลายพฤติกรรม" ด้วยสไลด์นี้ 


  • เราเรียนรู้จาก 3 ทาง 3 ฐาน ได้แก่ ฐานกาย ซึ่งรวมทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่ง "รับ" มาจาก ตา ลิ้น จมูก หู และผิวหนัง  ฐานคิดด้วยการคิด  และด้วยการลงมือปฏิบัติ ซึ่งต้อง "รู้"ด้วยใจ ต้องใช้ความรู้สึก... เชื่อมโยงสู่กิจกรรม "ประสานมือสื่อความรู้สึก" ข้างต้น
  • เมื่อครูรับสิ่งต่างๆ ผ่านโสตประสาทข้างต้น หากคนไหนตามไม่ทันความรู้สึก โกรธไม่รู้ว่าโกรธ โมโหไม่รู้ว่าโมโห เมื่อไม่รู้ ครูคนนั้นก็มักจะ ด่า ดุ ตำหนิ นักเรียน ทั้งๆ ที่ตนเองก็เรียนและรู้มาแล้ว่า จะต้องใช้ "จิตวิทยาเชิงบวก" .... ตอนบรรยาย ผมยกตัวอย่าง เด็กชายสมปอง ที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย แถมยังมาสายอีก ....ครูส่วนหนึ่งจิตใจจะยังเข้าไม่ถึง "การปฏิบัติเชิงบวก" ทำให้มักเหมือนหูพึ่งตาโต โมโห...ปี๊ด....... นั่นคือครูไม่ได้ "ยั้งคิด" ก่อนด่าดุตอบกลับไป 
  • หากเปรียบการสะท้อนหรือตอบสนองต่อสิ่งเร้า ในที่นี้คือเด็กชายสมปอง ทันทีที่ได้เห็น ทันทีที่ัรับสื่อเข้า เราแทนด้วย "พื้นที่สีแดง"  เป้าหมายของเราคือ ฝึกเอาพื้นที่สีแดงออกให้หมดจากใจ 
  • เปรียบกับกิจกรรม "ตีมือสื่อแทนการ "ห้อยแขวน" คำตอบ"  เมื่อถูกตีมือเราเจ็บ เรารู้สึกเจ็บ ก็เหมือนเมื่อเราเห็นเด็กชายสมปองเดินเข้ามา แต่เมื่อเราอดทน รับรู้ความรู้สึก ใคร่ครวญ ไม่ตีตอบทันที ขั้นตอนนี้เราเรียกว่า "ห้อยแขวนคำตอบ" เมื่อความเจ็บ ความรู้สึกนั้นหายไป เราก็สามารถที่จะ ให้อภัยกับใครก็ได้......
  • สรุป ครูจะใช้จิตวิทยาเชิงบวกกับเด็กๆ ได้จริง ก็ต่อเมื่อ ครูสามารถ "ห้อยแขวนคำตอบ" ห้อยแขวนความรู้สึก ตามทันความรู้สึกโกรธของตนได้ นั่นเองครับ 






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น