วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๕๖ : เล่าด้วยภาพ เยี่ยมโครงการบ้านวิทย์น้อย โรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย

วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ไปเยี่ยมโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ที่โรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย อีกโรงเรียนหนึ่งในสังกัดเทศบาลเมืองมหาสารคาม  มาเล่าด้วยภาพ เพื่อบันทึกความทรงจำการกระทำที่ดี ๆ เพื่อลูกหลานครับ


  • คุณครูคุยกันว่า ช่วงเวลาที่ผมมาเยี่ยมห้องเรียนบ้านวิทย์นี้ จำกัดมาก เพราะผมต้องเดินทางต่อมาทำงานที่มหาวิทยาลัยในเวลา ๑๐.๐๐ น. จึงได้จัดห้องเรียนแบบ Team Teaching  คุณครูอนุบาลทุกคนมาร่วมกันสอนการทดลองเรื่อง 


  • สิ่งที่โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อยเน้นที่สุดคือ การปลูกฝังจิตวิทยาศาสตร์และฝึกหัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เบื้องต้น (อ่านรายละเอียดได้ที่นี่) โดยเฉพาะ 
    • กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๖ ขั้นตอน ได้แก่  
      • ตั้งคำถาม
      • ตั้งสมมติฐาน (รวบรวมความรู้แล้วตั้งสมมติฐาน)
      • ค้นคว้าทดลอง พิสูจน์สมมติฐาน  (สำรวจตรวจสอบ)
      • สังเกตและบรรยายรายละเอียด (ขั้นตอนนี้เพิ่มไว้ให้เน้นเป็นพิเศษสำหรับเด็กครับ)
      • บันทึกและแสดงผลการทดลอง (ขั้นตอนนี้เพิ่มไว้เน้นให้เด็กได้ฝึก)
      • อภิปราย/สรุปผล (สรุปว่า สมมติฐานเป็นจริงหรือไม่ เพราะอะไร ครูอาจต้องช่วยสนับสนุนตามสมควร)
    • ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ๘ ประการ ... (บ้านวิทย์น้อยฯ เน้นอย่างน้อยให้ครบ ๔ ประการ ตามเกณฑ์ (อยากดูเกณฑ์คลิกที่นี่)) ได้แก่
      • การสังเกต
      • การวัด
      • การคำนวณ หรือ การใช้ตัวเลข
      • การจำแนกประเภท การเปรียบเทียบ
      • การใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส (รูปร่าง รูปทรง กะขนาด) และ สเปสกับเวลา (การสังเกตการเปลี่ยแปลง)
      • การสื่อความหมาย  .... ขั้นตอนนี้เองที่โครงการฯ ต้องการเน้น โดยกำหนดเป็นขั้นหนึ่งของกระบวนการฯ 
      • การลงความเห็น  .... ครูสนับสนุนด้วยการถามได้ แต่ดีที่สุดคือเด็กตัดสินใจเอง  สรุปเอง
      • การพยากรณ์  เป็นการคาดเดาอย่างมีหลักการ ใช้ประสบการณ์และองค์ความรู้ที่ได้ไปใช้ ก็คือ การนำความรู้ไปใช้นั่นเอง 


  • การทดลองวันนี้เกี่ยวกับการละลายหรือไม่ละลาย และองค์ประกอบของปากกาสีไวบอร์ด คุณครูให้เด็ก ๆ เขียนตัวอักษรหรือวาดภาพลงไปที่ก้นจานเซรามิก โดยใช้ปากกาไวท์บอร์ดหลากสี  หลายยี่ห้อ แล้วลองเอาน้ำหรือแอลกอฮอล์เทลงไป ... แล้วให้เด็ก ๆ สังเกต 


  • ถ้าเด็ก ๆ สังเกตเห็น น้ำเปลี่ยนสี ... ถ้าในคำพูดของเด็กมีคำว่า "ละลาย" ก็แสดงว่าเด็กคนนั้นรู้จักละลาย
  • ถ้าเด็กสังเกต และบอกได้เองว่า น้ำไม่เปลี่ยนสี ก็แสดงว่า สีชนิดนี้ไม่ละลายน้ำ 
  • คุณครูอาจเชื่อมโยงกับการเขียนปากกาไวบอร์ดลงบนกระดาน แล้วเชื่อมโยงไปสอนให้เด็กรู้ว่า เวลาเขียนกระดานไวท์บอร์ดต้องลบให้เรียบร้อย อย่าปล่อยให้แห้ง เพราะจะลบไม่ออก วิธีการลบไวท์บอร์ดเมื่อแห้งติดแล้ว ก็ต้องใช้แอลกอฮอลล์ เป็นต้น 


  • ผมฟังคุณครู ได้ความรู้ใหม่ ว่า ปากกาไวท์บอร์ทชนิด non-Permanent (ไม่ถาวร) มีองค์ประกอบสำคัญ ๓ ส่วนคือ สี น้ำ และน้ำมัน  นั่นหมายถึง 
    • ถ้าเขียนและใส่น้ำทันทีจะละลายน้ำ 
    • ถ้าเขียนแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง น้ำจะละเหยหมด เหลือแต่น้ำกับสีกับน้ำมัน ก็พอลบได้จากก้นถ้วย หรือกระดานไวท์บอร์ด ที่พื้นเรียบลื่น ไม่ติดน้ำมัน   แต่น้ำจะไม่เปลี่ยนสีแล้ว เพราะน้ำมันไม่ละลายในน้ำ 
    • ถ้าทิ้งไว้ ให้นานมาก ๆ  น้ำจะระเหยหมด น้ำมันแห้งหมด เหลือแต่สี จะลบไม่ออกแล้ว ต้องใช้ แอลกอฮอล์ 


  • การประชุม PLC หลังการเยี่ยมชมชั้นเรียน ข้อสะท้อนสำคัญ ๓ ประการ คล้ายกับทุกโรงเรียน คือ 
    • เราไม่จำเป็นต้องเน้น "ความรู้" สำหรับเด็กอนุบาล ไม่ต้องห่วงว่าจะสรุปองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้เด็กอะไรมากครับ 
    • ให้เน้นที่ การปลูกฝัง "จิตวิทยาศาสตร์" และ ฝึกทักษะกระบวนการและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 
    • สิ่งสำคัญที่สุด ยังคงเป็น ความสุขและความสนุกของทั้งนักเรียนและคุณครูครับ 
ขอเป็นกำลังใจให้คุณครูเพื่อศิษย์ทุกท่านครับ 

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๕๕ : เล่าด้วยภาพ เยี่ยมโครงการบ้านวิทย์น้อย โรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์

วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒ มาสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระเทพฯ ผ่านโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ที่โรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์


  • คุณครูเริ่มกระบวนการด้วยการสาธิต โดยจัดให้นักเรียนนั่งล้อมเป็นรูปตัวยู่  นักเรียนแต่ละคนจะมีตำแหน่งประจำของตน มีสติ๊กเกอร์ติดชื่อไว้ชัด ซึ่งผมเห็นทุกโรงเรียนระดับอนุบาลก็ทำลักษณะนี้ ... น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ครูเห็นเด็กทุกคน เด็กทุกคนเห็นครูและรู้ว่าครูกำลังทำอะไรอยู่ ไม่มีหน้า ไม่มีหลัง ไม่มีบัง ....  
  • การนั่งแบบตัวยูนี้ นอกจากจะทำให้เด็กดูครูครูดูเด็กแล้ว น่าจะมีเหตุผลตรงที่การเว้นระยะห่างระหว่างเด็กกันเองด้วย เพราะสังเกตว่า เมื่อไหร่เด็กหันหน้าหากันและใกล้กัน จะเกิดการชุลมุนกันขึ้นทันที ...  แต่ถ้าหาวิธีไม่ให้เกิดชุลมุนได้แต่ให้เด็กเข้าไปมุ่งดูการสาธิตอยู่ใกล้ ๆ ได้ จะดีที่สุด  

  • การทดลองเรื่อง "น้ำเดินได้"  เมื่อใส่สีผสมอาหารในน้ำจะสร้างความสนใจได้ดีครับ เพราะเห็นชัด แต่มีข้อเสียคือ น้ำจะ "เดิน" ช้ามาก  ไม่ทันใจหรือสร้างความสงสัยให้เด็ก  คุณครูอาจออกแบบกิจกรรมระหว่างรอ จะดีที่สุดครับ 



  • กิจกรรมลูกข่างหลากสี ก็ได้ผลดีเสมอครับ ... ความยากอยู่ตรงที่ ทำอย่างไรให้เด็กสังเกตเห็นการผสมของสี 

  • ผักกาดเปลี่ยนสี  เป็นการทดลองของนักเรียนมัธยมต้นเลยนะครับ  เป็นเรื่องเกี่ยวกับท่อลำเลียง  แต่ก็ให้ผลสร้างความสนใจให้เด็ก ๆ สงสัยได้ดี  ...  ไม่ต้องพะวงกับความรู้นะครับ 



  • "ผักกาดเปลี่ยนสี" จะคล้ายกับ "น้ำเดินได้" คือ การเปลี่ยแปลงเกิดขึ้นช้ามาก  คุณครูอาจต้องออแบบกิจกรรมเข้ามาแทรกระหว่างรอ เช่น ให้วาดรูปและระบายสีตามที่เห็น เป็นต้น 
  • กิจกรรมบอลลูนลูกโป่ง ...  ผมว่ากิจกรรมนี้น่าจะสนุกและสร้างความสงสัยและสนใจได้มาก ...  ขอไปลองกับน้องข้าวหอมกับน้องขวัญ ก่อนจะมารายงานนะครับ 


  • ถ้าเรามุ่งไปที่การสังเกต และให้เด็กหาทางอธิบายว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เมื่อเอา "ผงอะไรไม่รู้" ผสมกับ "น้ำอะไรไม่รู้" แล้วทำให้เกิดบอลลูนลูกโป่งขึ้น ....   ถ้าเด็กตั้งคำถามว่า "นั่นอะไรอะ" ... ก็ถือว่า คุณครูทำสำเร็จแล้ว ... ใช่ครับ ความสงสัยที่เกิดขึ้นเอง คือสิ่งที่เราต้องการ



  • การทดลองเรื่อง "เมล็ดพืชเต้นระบำ" ก็ทำกันทั่วไป เป็นที่นิยมกับทุกโรงเรียนในโครงการบ้านวิทย์น้อยครับ ...  


  • ต้องเลือกเมล็ดพืชที่มีจมน้ำและมีน้ำหนักไม่มากเกินไป เบาพอที่ฟองจะพา "เต้นระบำ" ได้ 
  • การใส่สีในน้ำ น่าจะทำให้เด็กสังเกตการเคลื่อนที่ของเมล็ดพืชได้ยากขึ้นนะครับ ... หรืออาจารย์มีวัตถุประสงค์อย่างอื่น...


  • วง PLC สั้น ๆ สะท้อนจุดสำคัญ โดยหวังจะคลายความกังวลของคุณครู คล้ายกับที่โรงเรียนเทศบาลบูรพาฯ  คือ...
    • ไม่ต้องห่วงเรื่อง "ความรู้" การสรุปความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์อะไรมากดอกครับ ถ้าคุณครูเรียนรู้ไป ทำไป จะค่อย ๆ เข้าใจความคิดรวบยอดของแตะละการทดลองได้เอง   เราไม่จำเป็นต้องสรุปเป็นความรู้ให้เด็ก ๆ ท่องจำใด ๆ  ... 
    • สิ่งที่เราเน้นคือ การฝึกทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้เด็ก ๆ ครับ  โดยเฉพาะ การสังเกต การจำแนกประเภท พยายามให้เด็กอธิบายสิ่งที่เห็นด้วยคำของตนเอง โดยไม่ใช่ให้จำไปพูด 
    • สำคัญมาก ๆ คือการส่งเสริมหรือสนับสนุน ให้เกิด ความสงสัยที่เกิดขึ้นเอง 
    • และที่สำคัญที่สุดคือ  ความเป็นธรรมชาติ สุข สนุก ที่ได้เรียน ได้สอน 
ผมชอบและเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ท่าน ศน.ไสว ท่าน บอกว่า "เล่นอย่างมีความหมาย" .... 

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๕๔ : เยี่ยมโครงการบ้านวิทย์น้อย โรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร

ผมทำการประเมินโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ด้วยเกณฑ์ประเมินฯ (คลิกที่นี่) เรียบร้อย และส่งผลการดำเนินการไปให้ฝ่ายประสานงานโครงการส่วนกลางแล้ว หลังจากที่ได้กำหนดแผนร่วมกันตั้งแต่เวทีฝึกอบรมคุณครูและทำ PLC กันครั้งก่อน (คลิกที่นี่) เมื่อคุณครูส่งผลงานมาตามกำหนดเวลา ผมตระหนักว่าการตรวจสอบเอกสารรายงานอย่างเดียว  ไม่น่าจะเกิดประโยชน์มากนัก จึงได้ประสานอาจารย์ศึกษานิเทศก์ที่รับผิด ขอเวลาให้ผมลงไปเยี่ยมกิจกรรมของครูกับนักเรียนที่โรงเรียนทั้ง ๗ แห่งในสังกัดของเทศบาลเมืองมหาสารคาม

วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา มีโอกาสไปเยี่ยมคุณครูอนุบาลบ้านวิทย์น้อยที่โรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร ทีมงานของโรงเรียนทำงานบ้านวิทย์น้อยฯ อย่างต่อเนื่อง และเวียนวัตรพัฒนาไปเรื่อยๆ ตามลำดับ   สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นที่น่าจะนำมาบันทึกไว้เป็นตัวอย่าง แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน คือความพยายามในการปลูกฝังกระบวนการทางวิทยาศาสตร์





เป้าหมายคือ การปลูกฝังจิตวิทยาศาสตร์และปลูกฝังทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 

หลังจากไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนของคุณครูแล้ว ครูและผู้มาเรียนรู้ด้วยทุกท่านได้ไปร่วมทำวง PLC ง่าย เพื่อสะท้อนและป้อนกลับ (Feedback) สิ่งที่เห็นและเป็นประโยชน์ร่วมกัน




  • ผมเสนอว่า เป้าหมายของโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อยคือ การปลูกฝัง "จิตวิทยาศาสตร์" ตั้งแต่ยังเด็ก และ จัดให้เด็กได้ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ๆ เหมาะกับวัยของเด็ก ๆ 
  • ผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ คือ ผู้ที่มีเจตคติดีต่อวิทยาศาสตร์ คิด ทำ และนำกระบวนการวิวทยาศาสตร์ไปใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต คือ ใช้เหตุและผล บนพื้นฐานของความเป็นจริง (เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ที่นี่ครับ)
  • ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ประกาศและอ้างอิงกันทั่วไป ใช้ตามของสมาคมการศึกษาอเมริกัน ทั้งหมด ๑๓ ประกการ พื้นฐาน ๘ ข้อ และขั้นสูง ๕ ข้อ  แสดงดังภาพด้านล่าง 




  • คุณครูอนุบาลจะพิจารณาด้วยตนเองว่า เด็กอนุบาลควรจะฝึกทักษะใด  ที่สำคัญ ๆ  ก็คือ ทักษะการสังเกต ทักษะการวัด (เบื้องต้น) และทักษะการจำแนกประเภท ส่วนทักษะการสื่อความหมาย  การใช้ตัวเลข ลงความเห็น และการพยากรณ์ คุณครูอาจต้องฝึกแบบปูพื้นไว้ ด้วยการตั้งคำถามให้ได้ฝึกรอไวในระดับสูงขึ้น 
  • ส่วนเรื่องการทำโครงงาน เด็กจะได้ฝึกทักษะขั้นสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับอนุบาล ๓ และอาจต้องมีคุณครูคอยตั้งคำถามและสนับสนุนอยู่ในช่วงแรกที่ฝึกประบวนการ
สิ่งที่ประทับใจได้รู้เห็น

ผมสังเกตว่า การทดลองบ้านวิทย์น้อย ของคุณครูเทศบาลบูรพาฯ ครั้งนี้ มีการปลูกฝังการเปรียบเทียบตัวแปรอย่างเห็นได้ชัด 



  • การทดลองแก้วดูดน้ำ ใช้เทียนขนาดสั้นยาวแตกต่างกัน แล้วตั้งคำถามให้เด็ก ๆ สังเกต การเปลี่ยนเปลง เปรียบเทียบ 


  • การทดลองเรื่องเมล็ดพืชเต้นระบำ มีการปรับเปลี่ยนให้เด็กเปรียบเทียบระหว่างน้ำเปล่าและน้ำส้มสายชู  เปรียบเทียบเหตุการหลังเติมผงฟูปริมาณต่างกัน และมีการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงหากเปลี่ยนลำดับากรผสมด้วย .... แม้จะยากเกินไป แต่นับว่าถูกทางในการปลูกฝังให้เด็ก ๆ รู้จักตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ตัวแปรควบคุม 
ขอเป็นกำลังใจให้คุณครูทุกท่าน ทำกิจกรรมบ้านวิทย์น้อยต่อไปครับ 

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๕๓ : เกณฑ์การประเมินโครงงานของโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย (ฉบับปรับปรุงล่าสุด)

อีกบทบาทหนึ่งของการสืบสานพระราชปณิธาน คือ งานการเป็น LN (อ่านว่า Local Network) ของโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย  ซึ่งทำเรื่องนี้ตั้งแต่หลายปีก่อน ตั้งแต่ทำงานกับศาสตราจารย์ ดร. ละออศรี เสนาะเมือง ท่านมอบหมายว่า โครงการนี้สำคัญ เป็นโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพฯ ณ ขณะนั้น

บันทึกนี้ผมสรุปคำสำคัญของเกณฑ์การประเมินโครงงานในโครงการบ้านวิทยาศาสตร์ฉบับล่าสุด (๒๕๖๐) ที่ใช้มาตลอดถึงปีการศึกษาปัจจุบัน (๒๕๖๒) อาจจะมีประโยชน์สำหรับครูอนุบาลบ้านวิทย์น้อยที่สนใจ หรืออาจมีประโยชน์สำหรับ PLC ของคนที่สนใจร่วมกัน เพราะสามารถแบ่งปันอภิปรายกันได้โดยใช้กระดาษแผ่นเดียว 



ภาพรวมของการประเมินโครงงานบ้านวิทย์น้อย เปรียบได้กับบันได ๖ ขั้น ๙ ข้อ แต่ละข้อให้คะแนนแตกต่างกันไป  โดยให้พิจารณาจากล่างขึ้นบน  ดังนี้

  • ดูก่อนว่า จัดเป็นโครงงานได้หรือไม่ โดยดูว่า มีการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ หากเป็นเพียงกิจกรรม ก็จะหยุดไม่พิจารณาประเมินโครงงานนั้นต่อ  แต่ถ้าใช่ก็จะก้าวไปบันไดที่สอง ... บันไดขั้นแรกนี้ไม่มีคะแนนให้ เปรียบเหมือนประตูที่ต้องผ่านไปก่อน 
  • บันไดขั้นที่ ๒ มี ๓ ข้อ พิจารณารวมทั้งหมด ๗ คะแนน 
    • ดูว่าครบวัฏจักรสืบเสาะ ๖ ข้อหรือไม่ ถ้าไม่ก็ได้ ๐ คะแนน ถ้าครบ ให้ ๑ คะแนน
    • ดูว่าเกิดจากความสงสัยของเด็กหรือไม่ ถ้าใช่ให้ ๓ คะแนน ถ้าร่วมกับครูได้ ๒ คะแนน ถ้าครูกำหนดขึ้น ให้ ๑ คะแนน
    • ถ้าริเริ่มสร้างสรรค์เองและแปลกใหม่ให้ ๓ คะแนน ถ้าครูช่วยคิดให้ ๒ คะแนน ถ้าต่อยอดจากผู้อื่น ให้ ๑ คะแนน ถ้าลอกเลียนมา จะได้ ๐ คะแนน 
  • บันไดขั้นที่ ๓ มีคะแนนถึง ๖ คะแนน พิจารณาจาก ๒ ส่วนคือ การมีส่วนร่วมของเด็ก และการลงมือทำของเด็ก 
    • ถ้าเด็กออกแบบเองเป็นส่วนใหญ่ ให้ ๓ คะแนน ถ้าครูให้แนวทางแล้วนักเรียนเป็นคนตัดสินใจ ให้ ๒ คะแนน ถ้าครูเป็นผู้ออกแบบ ให้ ๑ คะแนน
    • ถ้าเด็กทุกคนมีส่วนร่วมให้ ๓ คะแนน ถ้าบางส่วนไม่ได้ร่วม ให้ ๒ คะแนน แต่ถ้าครูเป็นผู้นำทำ ให้ ๑ คะแนน
  • บันไดขั้นที่ ๔ มี ๒ คะแนน ดูที่การรายงานผลและการบันทึกผลของเด็ก ๆ  โดยดูว่าสอคคล้องกับคำถามหรือกระบวนการที่ทำหรือไม่ 
    • ถ้าไม่สอดคล้องให้ ๐ คะแแนน
    • ถ้าสอดคล้องบางข้อ ให้ ๑ คะแนน 
    • ถ้าสอดคล้องทุกข้อ ให้ ๒ คะแนน
  • บันไดขั้นที่ ๕ ให้พิจารณาการสรุปและอภิปรายโครงงาน ดูว่า 
    • ใครเป็นผู้สรุป ถ้าครูเป็นผู้สรุปให้ ๐ คะแนน ถ้านักเรียนสรุปให้ ๑ คะแนน
    • สรุปได้สอดคล้องกับคำถามหรือผลการสำรวจตรวจสอบหรือไม่ ถ้าสอดคล้องให้ ๒ คะแนน ถ้าไม่ ให้ ๐ คะแนน
    • ดูที่หลักฐาน ถ้าหลักฐานสอดคล้องด้วย ให้ ๑ คะแนน ถ้าไม่ ให้ ๐ คะแนน
  • บันไดขั้นที่ ๖ ให้พิจารณาว่า เด็กเกิดทักษะอะไรหรือไม่ เพียงใด 
    • ถ้าเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์  ๔ ทักษะขึ้นไป ให้ ๓ คะแนน ๓ ทักษะให้ ๒ คะแนน ๒ ทักษะให้ ๑ คะแนน
    • ถ้าเกิดทักษะด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ภาษา การสื่อสาร ฯลฯ  ๒ ด้าน ให้ ๑ คะแนน ๓ ด้าน ให้ ๒ คะแนน และถ้าเกิด ๔ ด้านขึ้นไป ให้ ๓ คะแนน
รวมคะแนนประเมินโครงงานทั้งหมด ๒๕ คะแนน ถ้าได้ ๑๒ คะแนน ก็จะผ่านการประเมินครับ