วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

PLC อบจ. ขอนแก่น _๐๒ : อบจ.ขอนแก่นโมเดล

วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ผม ครูตุ๋มศิริลักษณ์ ชมภูคำ และคุณเสือ มานะ ภูพันนา มีโอกาสได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (PLC) เพื่อพัฒนาการศึกษาขององค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น (อบจ.ขอนแก่น) ผมได้เรียนรู้ลักษณะและรูปแบบ PLC ตัวอย่างของโรงเรียนหนองโนประชาสรรค์ จากการฟังเรื่องเล่าถ่ายทอดประสบการณ์ของ ผอ. อำนาจ  โพธิ์ศรี และประมวลต่อยอดกับกระบวนแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ด้วย "THEWA Model" (รูปแบบการนิเทศเพื่อพัฒนาแบบใหม่) ของ ศน.เทวา ตั้งวานิชกพงษ์ จึงสรุปสังเคราะห์รูปแบบ PLC ดังรูป  ผม AAR ว่านี่คือ PLC ที่เป็น BP ต้นแบบอันหนึ่งได้ จึงขอตั้งชื่อเพื่อสื่อสารต่อไปว่า "PLC อบจ.ขอนแก่นโมเดล"



อย่าตกร่อง PLC และ LS

อะไรคือ PLC?  สิ่งที่กำลังทำอยู่นี่ คือ PLC ไหม?  Lesson Study หรือ LS คืออะไร? PLC กับ LS เหมือนกันไหม? .....  เหล่านี้คือคำถามที่เราถกกันในวงผู้อำนวยการนานพอสมควร

ผมเน้นกับผู้อำนวยการทุกท่านว่า "เราต้องไม่ตกร่อง PLC หรือ Lesson Study"  คือต้องไม่ให้ความสำคัญถึงขั้นว่า จำเป็นต้องทำ PLC หรือ LS เท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของเราได้ ไม่ยึดติดในนิยามและข้้นตอนของ PLC และ LS ของต่างประเทศมาใช้โดยไม่คำนึงถึงบริบทของตนเอง  หลักคิดสำคัญคือ ปัญหาของราคืออะไร? หลักการของ PLC หรือ LS คืออะไร? และเราจะสามารถแก้ปัญหาโดยเอาหลักการนั้น ๆ มาปรับใช้แก้ปัญหาได้หรือไม่? ... อะไรที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำ PLC หรือ LS

PLC และ LS เป็นวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีม ไม่มีนิยามตายตัว PLC เป็นวัฒนธรรมการทำงานของครูที่อเมริกา มีผู้นิยามกระบวนการและองค์ประกอบของ PLC ไว้หลากหลาย (ผมเคยเขียนไว้ที่นี่) ส่วน LS เป็นวัฒนธรรมการทำงานของครูญี่ปุ่นที่ใช้มากว่าร้อยปี (มีผู้ให้ความหมายไว้ที่นี่) ต่อมาได้รับความนิยมไปถึงอเมริกาด้วย    ทั้ง PLC และ LS กำลังได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการในขณะนี้ (๒๕๖๐) เพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานสอนเดี่ยวของครูไทยในปัจจุบัน

หลักการของ PLC และ LS

หลักการของ PLC และ LS คือหลักการเดียวกัน นักการศึกษาทั่วไป บอกว่า LS ก็คือ PLC ของครูนั่นเอง จากการศึกษาและประสบการณ์จากการพยายามสร้าง PLC ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม  ผมเข้าใจว่า PLC มีหลักสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่

๑) ทำงานเป็นทีมด้วยความสามัคคี   หมายถึง ความสามัคคีของครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มาร่วมมือกันแก้ปัญหาและพัฒนาการทำงานวิชาชีพ ในที่นี้คือก็วิชาชีพครู

๒) พึ่งพาตนเอง แก้ปัญหาด้วยชุมชนตนเอง คือ เราต้องเข้าใจตรงกันว่า ไม่มีใครที่ไหนจะสามารถแก้ปัญหาหน้างานของเราได้ดีไปกว่าพวกเราเอง  การอบรมพัฒนาหรือหนุนเสริมจากนักวิชาการภายนอกเป็นเพียงส่วนหนุน เท่านั้น

๓) สร้างสรรค์สังคมแห่งการเรียนรู้  นี่คือ เป็าหมายภายใหญ่ของการใช้ PLC อย่างต่อเนื่องยาวนาน สำเร็จจนสามารถกลายเป็นวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้  นักเรียนก็มีอุปนิสัยใฝ่รู้ ครูก็เรียนรู้เป็นผู้เรียน (Learner) ผอ. ศน. ทุกคน เป็นผู้ใฝ่รู้และเรียนรู้ตลอดชีวิต นั่นคือ PLC ก็คือเครื่องมือที่ใช้สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ หรือก็คือ CoP หรือ ชุมชนนักปฏิบัติ (Cooperative of Pratice) ในทฤษฎีการจัดการความรู้นั่นเอง

นิยามของ PLC และ LS สำหรับ "อบจ.ขอนแก่นโมเดล"

PLC และ LS เป็นวัฒนธรรมการทำงาน เป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติในการทำงานเป็นทีมสำหรับแก้ปัญหาร่วมกัน  ดังนั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องลิขสิทธิ์หรือคิดมากเรื่องนิยามความหมายมากเกินไป  อย่างไรก็ดี เข้าใจว่า ในทางการศึกษา เวลาจะกล่าวอะไร ต้องให้นิยามให้ชัดเจน  จึงขอนิยามไว้ให้สื่อสารตรงกันต่อไป

PLC (Professional Learning Community) คือ  ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์  (คำนี้นิยามโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผมเข้าใจว่าท่านเป็นคนแรกที่พยายามนำเอาเครื่องมือนี้มาสู่ประเทศไทย) หรือ ชุมชนเรียนรู้วิชาชีพ (คำนี้นักการศึกษาไทยใช้กันทั่วไป) หมายถึง วัฒนธรรมการทำงานเป็นทีมของชุมชนคนที่มีอาชีพเดียวกัน  ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา คิดหาหรือค้นหาวิธีแก้ปัญหา และนำเอาประสบการณ์การแก้ปัญหามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพื่อพัฒนาผลลัพธ์ ความเชี่ยวชาญ และสร้างองค์ความรู้หรือนวัตกรรมตามวิชาชีพของตน ๆ

ส่วนองค์ประกอบของ PLC มีหลากหลาย มากมาย ไม่มีความหมายที่จะเอามาท่องจำ หรือนำเอาองค์ประกอบเหล่านั้นไปปฏิบัติตาม เพราะ PLC ที่แท้จริง คือวัฒนธรรมการทำงานที่สมาชิกในชุมชนเป็นคนสร้างขึ้นมาร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น Lesson Study คือ PLC ของครูญี่ปุ่น เป็นต้น

อย่างไรก็ดี วิธีสื่อสารกับสมาชิกในชุมชนที่ดี คือ กำหนดให้องค์ประกอบของ PLC มี ๓ ประการ คือ ๑) มีเป้าหมายเพื่อพัฒนางานพัฒนาวิชาชีพ นั่นคือ Professional ในที่นี้หมายถึงวิชาชีพครู อาชีพครู ๒) มีการเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการทำงาน นั่นคือ Learning และ ๓) มีลักษณะเป็นชุมชนของคนอาชีพเดียวกัน คือมีการสื่อสาร แบ่งปันและร่วมมือร่วมใจกัน นั่นคือ Community  

LS (Lesson Study) คือ การศึกษาบทเรียนจากการปฏิบัติงานในชั้นเรียนร่วมกันของครู ร่วมกันเตรียมการสอนหรือวางแผนการสอน ร่วมกันสอนและสังเกตการสอน มีการประเมินการสอนและสะท้อนป้อนกลับผลการสังเกตการสอน นำมาปรับปรุงแผนการสอน เพื่อร่วมกันพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้ดีขึ้น

ผอ. อำนาจ โพธิ์ศรี ท่านกำหนดให้ LS คือกระบวนการทำงานร่วมกันสำหรับชั้นเรียนหนึ่ง ๆ  เป็นทีมครูที่อยู่ในสาขาวิชาเดียวกัน (หรือกำลังสอนวิชาเดียวกัน หรือกลุ่มครูที่ต้องแก้ปัญหาเดียวกัน มีเป้าหมายที่เฉพาะเดียวกัน) ส่วน PLC คือ กระบวนการแก้ปัญหาร่วมกันของครูทั้งหมดในโรงเรียน และรวมถึงบุคลากรด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อช่วยหนุนเสริม LS ในโรงเรียน

เพื่อธิบาย "อบจ.ขอนแก่นโมเดล" ให้ชัดขึ้น ขอนำเสนอแผนผังเดิมอีกครั้ง ดังรูป



คำอธิบาย "อบจ.ขอนแก่นโมเดล"

รูปแบบของ PLC ของโรงเรียนหนองโนประชาสรรค์ แบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วน LS (บางท่านเรียก PLC ในช้้นเรียน) และส่วน PLC ในโรงเรียน ส่วนรูปแบบของ อบจ.ขอนแก่น ที่นำโดย ศน.เทวา สามารถแบ่งเป็น ๒ ส่วนสำคัญเช่นกัน ได้แก่ การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ หรือเรียก "PLC ในเขตพื้นที่การศึกษา"  และการนิเทศการศึกษาแบบเสริมพลัง โดย "THEWA Model"  โดยมีวิธีการดำเนินการดังนี้

๑) ให้ครูแต่ละกลุ่มสาระเดียวกัน ตั้งเป็นปลุ่ม LS  ขึ้นมา ในรูปแสดงไว้ ๕ กลุ่มศึกษาชั้นเรียน คือ LS1 LS2 .... LS5   แล้วดำเนินการดังนี้

  • ร่วมกันเลือกหน่วยการเรียน หรือสาระเนื้อหาที่เป็นปัญหาที่สุด โดยพิจารณาจากข้อมูลที่เชื่อได้ เช่น ผลทดสอบ หรือแบบประเมินคัดกรอง ฯลฯ 
  • ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา กำหนดแนวทางการแก้ไข  เขียนแผนการสอนร่วมกัน 
  • ร่วมกันสอน ขณะที่คนหนึ่งสอน คนอื่นให้เป็นผู้สังเกตนักเรียน สังเกตการสอน 
  • ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาการสอน มีการสะท้อนป้อนกลับ (feedback) ให้ผู้สอนทราบ และร่วมกันปรับปรุงแผนการสอน  
ทั้งสี่ขั้นตอนนี้คือวิธีศึกษาชั้นเรียน ต้องทำวนไปเป็นวงจรจนปัญหาได้รับการแก้ไข และขยายผลไปยังหน่วยการเรียนอื่น ๆ  จะเห็นว่า นี่คือการทำวิจัยในชั้นเรียนเป็นทีม (Team Aciton Research) นั่นเอง ทำให้นักการศึกษาหลายคนเรียก LS ว่า  การวิจัยชั้นเรียน หรือ RS (Research Study)

ในขั้นตอนนี้ นอกจากเพื่อนครูในทีมสาขาวิชาเดียวกันที่ไปสังเกตการสอนแล้ว ยังมีผู้อำนวยการและศึกษานิเทศก์เข้าร่วมสังเกตด้วยในบางครั้ง แล้วแต่ความเหมาะสม 

๒) ทำ PLC ในโรงเรียน โดยจัดให้มีการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นประจำ เพื่อระดมสมองและความร่วมมือจากทุกคนในโรงเรียน ปัญหาพบในชั้นเรียนบางประการ อาจต้องการการหนุนเสริมหรือสนับสนุนจากเพื่อนครูและผู้อำนวยการในโรงเรียน  โดยผู้อำนวยการเองก็สื่อสารและสร้างความร่วมมือกับชุมชนและผู้ปกครองผ่านคณะกรรมการสถานศึกษาเป็นประจำเช่นกัน 

๓) สร้างเครือข่ายชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ ให้เกิด วง PLC ของครูในสาขาวิชาเดียวกันจากโรงเรียนต่าง ๆ ในเขตพื้นที่การศึกษา (ในที่นี้หมายถึงโรงเรียนในสังกัด อบจ.ขอนแก่น) โดยผู้อำนวยการเรียนรู้คือ ศึกษานิเทศก์ อาจเรียกว่า "PLC ครูระหว่างโรงเรียน" ในขณะเดียวกันก็สร้างความร่วมมือกับผู้อำนวยการ ทำ PLC ผอ. เพื่อหาทางหนุนเสริมและบริหารจัดการให้การทำงานของ PLC ระหว่างโรงเรียนและในโรงเรียน  โดย ผอ.เขตพื้นที่ฯ ต้องมาร่วมวงด้วย  นอกจากนี้แล้ว ควรจะมี PLC ของศึกษานิเทศก์อีกวงหนึ่ง เพื่อพัฒนางานด้านการหนุนเสริมและการประกันคุณภาพการศึกษา โดย ผอ.เขตพื้นที่ฯ ต้องลงมาดูด้วยตนเอง 

๔) การนิเทศแบบเสริมพลัง ถือเป็นกลไกสำคัญให้ PLC ทุกชั้นดำเนินไปอย่างมีพลัง เป็นตัวจักรสำคัญที่จะแบ่งปันทั้งทางด้านทรัพยกรการสนับสนุน ด้านวิชาการความรู้ ด้านพลังเสริมแรงบันดาลใจ สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ครูทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ผมขอแนะนำให้ท่าน ศน. เทวา เผยแพร่ผลงานเรื่องการสร้างเครือข่ายชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์และการนิเทศแบบเสริมพลังด้วย THEWA Model  ทาง www.gotoknow.org  เพื่อให้รายละเอียดประสบการณ์ในการทำงานของท่าน สร้างสรรค์ PLC ครูระดับเขตพื้นที่การศึกษา หรือเกิด PLC ร่วมกันพัฒนาระดับประเทศต่อไป 








วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560

PLC มหาสารคาม : อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ (ขยายผลครูตุ๋ม) _๓ เรื่องเล่าของครูสมจิต

วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ในวง PLC แก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ครูสมจิต ภูวนารถ ครูชำนาญการพิเศษ จากโรงเรียนบ้านหนองกุงเต่า เอาเรื่องของเด็กแฝดคู่หนึ่งที่มาเล่าแลกเปลี่ยนกับเพื่อนครู เป็นเรื่องภูมิใจมาก ที่สามารถช่วยเหลือให้เด็กอ่านออกเขียนได้  โดยไม่ทิ้งเด็กคนใดไว้ให้เป็นไปตามยถากรรม

หากท่านสะดวกฟัง เชิญฟังเรื่องเล่าของครูสมจิตได้ที่นี่ครับ

ครูสมจิต ภูวนารถ เล่าถึงกรณีเด็กแฝดคู่หนึ่ง ท่านไม่ได้ระบุว่ามีภาวะ LD หรือไม่ แต่ก่อน เวลาเพื่อนเรียน เด็กแฟนสองคนนี้จะไปวิ่งเล่น "ไต่บีบีแอล" ในสนามเด็กเล่น (วิ่งไต่บนล้อยางหลายสี เรียกว่า ไต่บีบีแอล) เด็กแฝดคู่นี้จะไม่ยอมเรียนกับใครเลยนอกจากครูสมจิต ครูสมจิตไปสอนห้องไหนจะตามไปเรียนห้องนั้น เรียกได้ว่าเป็นเด็กหลายระดับชั้น เพราะครูสมจิตสอนทั้ง ป.๑ ป.๒ และ ป.๓  ในกระเป๋ามีเพียงของเล่นของเป่า ไม่เอาสื่อสิ่งเรียนมาเหมือนเด็กอื่น ๆ

แต่ก่อนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้เลย สิ่งที่ชอบที่สุดคือการวาดรูป  เป็นข้อยืนยันอีกหนึ่งกรณีว่า เด็กส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดที่มีปัญหา LD ชอบวาดรูป  การใช้การวาดรูปเป็น "ประตูเข้า" ที่จะทำให้พวกเขากลับมาเรียนรู้อย่างสนุก

วิธีของครูสมจิตคือ "ชมให้ทำ นำด้วยการชม" คือใช้ทักษะการชมเชยของท่าน นำให้วาดรูปตามความชอบ รูปอะไรก็ได้ แล้วเขียนแปลงจากรูปเป็นคำ คำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับรูป วันแรก ๆ หนูน้อยคู่แฝดจะเขียนเพียงรูปเดียว ต่อมาท่านก็พับกระดาษเป็นสองส่วน ได้สองรูปสองคำ ต่อมาท่านก็ให้พับสี่พับ ได้สี่ภาพสี่คำ เมื่อเด็ก ๆ วาดแต่รูปเดิม ๆ โดยเฉพาะรูปต้นไม้ ครูสมจิตจะใช้คำถามขยายผล ให้เด็กกระ่จายขยายไปสู่บริบทต่าง ๆ ด้วย

ปัจจุบัน หนูน้อยคู่แฝดนี้ สามารถเรียนกับเพื่อนได้เกือบทั้งวัน ตอนเช้าได้ถึง ๑๑.๓๐ ต่อนบ่ายได้อีก ๑ ชั่วโมง อ่านออกและเขียนได้มากขึ้น และมีสุขภาพจิตดีขึ้น

ตอนท้าย ๆ ของเรื่องครูสมจิตเล่าว่า ชั้น ป.๑ มีนักเรียนที่สามารถอ่านออกเขียนได้แบบคล่อง ๆ เลย จนเป็นที่ภูมิใจมากของเพื่อนครู จำนวน ๘ คน เทคนิคที่ทำให้ประสบผลสำเร็จคือ ให้ฝึกอ่านบ่อยๆ จากฉลากขนม โดยใช้กิจกรรม "เที่ยงวันขยันอ่านเขียน"  ทุกเที่ยงวัน เด็ก ๆ ทุกคนจะนำเอาฉลากขนมมาอ่านให้ครูฟัง ครูสมจิตจะใช้การตั้งคำถามและชมเชยเสริมแรงใจ ท่านบอกว่า วิธีนี้ได้ผลมาก  (คลิกฟังเสียงท่านที่นี่)

ครูสมจิตบอกว่า สิ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้  เริ่มต้นมาจากกระบวนการ ๖ ขั้นตอนที่ได้มาเรียนรู้จากครูตุ๋ม ก่อนจะขยายต่อยอดมาเป็นวิธีต่าง ๆ  ตอนนี้เด็กทั้งหมด ๓๘ คน มีปัญหาอยู่เพียง ๒ คนเท่านั้น

กรณีของครูสมจิตน่าจะนำความสุขมาสู่เพื่อนครูเพื่อศิษย์ทุกคนครับ


วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

PLC มหาสารคาม : อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ (ขยายผลครูตุ๋ม) _๒. กรณีเด็กชายกร (นามสมมติ)

บันทึกต่อเนื่องจากบันทึกที่ ๑

 ๒) เด็กชายกร (นามสมมติ)


ครู : เด็กชายกรเป็น ๑ ใน ๓ ของนักเรียนที่อ่านไม่ออก จากนักเรียนทั้งหมด ๑๓ คน  อ่านไม่ออก สะกดคำไม่ได้ โดยเฉพาะคำที่มีสระผสม เวลาอ่านออกเสียงพร้อมกัน จะไม่ออกเสียงกับเพื่อน เวลาให้อ่านเดี่ยวก็อ่านเสียงเบามาก  เวลาส่งงานจะรั้งท้ายตลอด บางทีก็ไม่ส่ง ดื้อ มึน ขี้เกียจ พ่อแม่ก็ไม่ดู อยู่กับตายาย บอกยายว่า ไม่มีเคยมีการบ้าน ทั้ง ๆ ที่ครูให้การบ้านทุกวัน 

ในกระบวนการ ๖ ขั้น ที่นำไปใช้ แต่มีข้อจำกัดเรื่องเด็กจิตอาสา เด็กชายกรจะชอบวาดรูปมาก  แต่จะมีปัญหาเรื่องการเขียน ช่วงแรก ๆ จะวาดรูปเยอะ  แต่ตอนหลังพอรู้ว่าจะให้เขียน ก็วาดน้อยลง  หลังจากใช้ไปสักระยะก็ดีขึ้น ได้ผลดีขึ้น จากผลการทดสอบด้วยเครื่องมือของทาง สพป. พบว่าอ่านขึ้นได้มาก

คลิปเล่าเรื่องของคุณครู อยู่ที่นี่ครับ 

ครูตุ๋ม : แนะว่าอย่าเพิ่งให้วาดเยอะ อย่าเพิ่งวางเป้าหมายใหญ่เกินไป ให้วางเป้าหมายเล็ก ๆ สั้น ๆ  วาดแล้วให้เขียนคำให้ ให้เอาไปแปะ เริ่มจาก ๒-๓ คำ ค่อย ๆ ชม และใช้เรื่องเล่าสลับกับการยกย่องให้ความสำคัญ ต้องมีวิธีการดึงความสนใจ

 "...ต้องมีวิธีอ่อย วิธีล่อแหมะค่า เริ่มเต้นอาจซิสองสามคำก่อน และค่อยเพิ่มจำนวนคำขึ้น  เริ่มต้นเลยไม่ต้องให้เขียนอะไรเลย ไม่ต้องให้เขียนคำหรือคัดลายมือใด ๆ เลย  ให้วาดรูปแล้วแปะลงใบบนกระดาษเลย ... ค่อย ๆ ตั้งคำถาม ... มื่อนี่บักหล่าไปใสลูก ไปโถ่งนา ไปตลาดติ ? ... กะให้วาดเลยค่า ... สมจริงไม่สมจริงก็ไม่เป็นไร ... วาดไปตามประสาเลย ให้เขาชอบและสนุกก่อน  ... เมื่อบ่อย ๆ เข้าก็ให้เริ่มใช้คำถาม เช่น บักหล่าไปทะเลเห็นหยังแหน่  ได้กินอาหารทะเลเบาะ  ทะเลงามบ่อ?  เป็นต้น ... แล้วก็ค่อย ๆ ให้ลองแต่งประโยค เช่น ทะเลสวย ฉันกินอาหารทะเล ... คือเอาคำว่าทะเล มาให้คิด  ทีละ ๒ หรือ ๓ ประโยค ... บักหล่าคือเก่งแทะ  เอาไปติดไว่ผนังให้หมู่เมิ่งนำแนะ ... ให้โอกาสเล่าให้เพื่อนฟัง... บักหล่าต่อไปเว่าซื่อ ๆ  มันบ่อค่อยโก้ปันได๋เด้  ให้เขียนนำจั่งซิสุดยอด ....  คือหากุลสโลบายให้ฝึกเขียนด้วยตนเอง...สำคัญคือ ต้องทำให้เขารู้สึกว่า เขาทำได้ ชมเพื่อพัฒนา ไม่มีการลงโทษ..."

ผมเสนอ :  สิ่งที่ครูตุ๋มบอกว่า ต้องทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองทำได้  ตรงกับทฤษฎีทางประสาทวิทยา ที่พบว่า สมองจะมีแนวโน้มที่จะขี้เกียจ หลีกเลี่ยงและหลบหลีกในสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้  ดังนั้นการปฏิสัมพันธ์กับเด็กจะต้อง "ไม่เป็นภาระสมอง" เกินไป

ครูตุ๋มเล่าต่อว่า : ที่ ร.ร.บ้านหินลาด มีเด็ก "แฟดนรก" แต่ก่อนไม่เคยยิ้มหรือปฏิสัมพันธ์กับใครเลย ก้าวร้าว ไม่เอาอะไรเลย แต่ชอบวาดรูปเหมือนเด็กชายกร  ตอนนี้เด็กสองคนนี้กลายเป็นคนละคน ยิ้มแย้ม ตอบถามเพื่อนและครู 

ฟังเสียงครูตุ๋มและเสียงผมช่วยกันแนะนำเรื่องนี้ที่นี่ครับ

















ขอบูชาคุณครูเพื่อศิษย์ทุกท่านครับ  

PLC มหาสารคาม : อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ (ขยายผลครูตุ๋ม) _๑. กรณีเด็กชายเทพ (นามสมมติ)

วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ครูศิริลักษณ์ ชมภูคำ จัด PLC ครูภาษาไทย ในโครงการขยายผลกระบวนการพัฒนานักเรียนจิตอาสาด้วยการแก้ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เป็นการจัดการความรู้ติดตามผลและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่อเนื่องของกลุ่มครูเพื่อศิษย์ที่มาอบรมกระบวนการ ๖ ขั้น กับครูตุ๋มที่โรงเรียนบ้านหินลาด ตั้งแต่วันที่ ๑๗-๑๘ กันยายน ๒๕๕๙ (ผมบันทึกไว้ที่นี่) จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่าครูทุกท่านได้นำเอากระบวนการ ๖ ขั้นของครูตุ๋มไปใช้ทุกท่าน โดยเน้นนำไปใช้แตกต่างกันไปตามข้อจำกัดของตนๆ

ความจริงกลุ่มเป้าหมายที่มาร่วมงานวันนี้ ไม่ใช่เฉพาะครูจากโรงเรียนเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น แต่มีตัวแทนนักเรียนจิตอาสามาร่วมด้วยโรงเรียนละ ๒ คน เราแยกเวทีกันหลังจากพิธีเปิด โดยมอบให้แสนธีระวุฒิ ศรีมังคละ เป็นกระบวนกรกลุ่มนักเรียน (ผู้สนใจติดตามบล็อคของแสนครับ)

สำหรับวง "PLC ครู" ผมออกแบบกระบวนการแลกเปลี่ยนและถอดบทเรียนแบบง่าย ๆ แต่ได้ผลดีมาก ใช้เครื่องมือหาง่าย ได้แก่ดินสอสีกับกระดาษ วิธีคือ ให้ครูวาดรูปเด็กนักเรียนของตนเองไว้กลางกระดาษ แล้วให้เขียนข้อมูลของเด็กคนนั้นใน ๔ ประเด็น ดังรูปด้านล่าง ได้แก่ ๑) ข้อมูลพื้นฐาน (สิ่งแวดล้อม บริบทของเด็ก) ๒) ปัญหาหรือพฤติกรรมที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ๓) ความสำเร็จของครู หรือพัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือทักษะของเด็ก และ ๔) วิธีการของครู รวมถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จของครู วัตถุประสงค์ของขั้นตอนนี้ คือให้คุณครูได้วอร์มอัพก่อนแลกเปลี่ยน เพื่อให้การถอดบทเรียนมีมิติเวลาจากซ้ายไปขวา (ค้นหาการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการ) และมิติของการแก้ปัญหา คือ สิ่งแวดล้อม->สาเหตุ->วิธีแก้ -> ความสำเร็จ แบบตัว "ยู"



ขอเชิญชวนให้ครูเพื่อศิษย์ที่กำลังช่วยเหลือนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ พิจารณาปัญหาและข้อแนะนำจากครูตุ๋มกรณีต่อไปนี้ (ทั้งที่จะมีตามมาในบันทึกต่อไป) หากท่านไม่ถนัดอ่าน สามารถคลิกฟังคลิปเสียงได้ แต่ต้องขออภัยที่เราใช้ภาษาถิ่นกันเกือบทั้งหมด


๑) เด็กชายเทพ (นามสมมติ)
ครู : เด็กชายเทพอาศัยอยู่กับตายาย พ่อแม่แยกทางกัน และไปทำงานต่างจังหวัด จะขึ้น ป.๒ แล้วยังเขียนพยัญชนะยังไม่ได้เลย เขียนหนังสือก็ไม่เป็นตัว ไม่เป็นระเบียบ สกปรกเลอะไปหมด มีความสนใจแต่ไม่ค่อยมีความจำ สมาธิสั้น สอน กอ อา กา เหมือนจะได้แต่ซักพัก ก็ลืมเหมือนเดิม ต้องมาเริ่มต้นใหม่ พยายามพาเขียนบ่อยซ้ำย้ำทวนก็แล้ว ก็ไม่ค่อยได้ผล (คลิกฟังครูเล่าได้ที่นี่ครับ)
ครูศิริลักษณ์ : วิธีการวางเป้าหมายในการเรียนของเด็ก ต้องไม่วางเป้าไกลเกินไป แม้การเขียนหนังสือไม่เป็นตัว หรือเขียนไม่สะอาด ก็ยังไม่ต้องเข้มงวดสะอาดและเป็นระเบียบทันที ต้องไม่ดุด่าว่าเด็ดขาด ให้ค่อยตะล่อมให้เกิดความสนุกชอบเรียนภาษาไทยให้ได้ ให้เข้ามาเล่นมาเรียนในห้องก่อน วิธีการคือ ให้ใช้การชม (ญ่ออง) และใช้ "เรื่องเล่า" (บนฐานเรื่องราวชีวิตที่เด็กคุ้นเคย) เช่น

  • กรณีเขียนไม่เป็นตัว เช่น ด.ช.เคน เขียนชื่อตนเองออกมาไม่เป็นตัว เราจะบอกว่า "...บักหล่า พ่อใหญ่เคนเพิ่นป่วยตั่วนี่ บักหล่าพาเพิ่นไปแล่นเล่นก่อนเด้อ พาเพิ่มไปออกกำลังกาย กินข่าวกินปลา ให้เพิ่นอ้วนขึ้นก็นี่เด้อ..." เป็นต้น
  • กรณีเขียนไม่เป็นระเบียบ ไม่สะอาด เช่น ให้บอกว่า "...บักหล่า..พ่อใหญ่เคนเพิ่นบ่อได้อาบน้ำจักเทื่อติ บักหล่าพาเพิ่นไปอาบน้ำ สาผม ทาแป้งงาม ๆ หวีผม ก่อนเด้อหล่า ..." เป็นต้น
  • กรณีมาตราตัวสะกด สำหรับเด็ก LD ให้สอนเฉพาะที่สะกดตรง ๆ โดยใช้เรื่องเล่า และผูกสิ่งที่ต้องจำไว้กับเรื่องเล่า หรือก็คือ ให้หลักการจำที่สัมพันธ์กับเรื่องเล่านั่นเอง
  • สำหรับตัวการันต์ ก็ให้ผูกเป็นเรื่องเล่า เช่น "...ทหารชอบคุยโทรศัพท์เด้หล่า ยักษ์สร้างเจดีย์ น้องชอบดูโทรทัศน์ ..." เป็นต้น
ท่านที่อยากฟังเสียงสดของครูตุ๋มในการแนะนำเพื่อนครู คลิกฟังที่นี่ครับ
อ.ต๋อย : ผมจับหลักสำคัญได้ดังนี้

  • ใช้การชมอย่างเดียว คือใช้เชิงบวกอย่างเดียว จากหนังสือ "เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่" ของหมอวิจารณ์ ท่านสรุปงานวิจัยของต่างประเทศไว้น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องการชมไว้ว่า "...คำชมหรือยกย่องที่ถูกต้องคือ ต้องชมความฉลาดหรือปัญญา เพราะทำให้เด็กอ่อนแอและมีข้ออ้าง ต้องไม่ชมผลงานแบบลอย ๆ ว่าดีหรือเด่น เช่น "ลูกมีพรสวรรค์ด้านศิลปะ" คำชมที่มีคุณค่าต้องเลือกใช้อย่างระมัดระวัง โดยเลือกชมที่กระบวนการที่เด็กใช้ในการบรรลุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะสร้างแรงบันดาลใจและพุ่งเป้าไปที่พฤติกรรมหรือการกระทำที่จำเพาะ ที่นำไปสู่ความสำเร็จที่เรียกว่า "ชมกระบวนการ" (Process Praise) ..." เช่น
    • เธอวาดภาพได้ดี ครูชอบรายละเอียดที่เธอใส่ในใบหน้าคน
    • เธอทบทวนสาระในรายวิชาสังคมศึกษาได้อย่างดีมาก เธออ่านทบทวนหลายรอบ และสรุปโครงสร้างของสาระ และทดสอบความรู้ของตนเองได้ดี
    • ครูชอบที่เธอลองวิธีแก้โจทย์คณิตศาสตร์นี้หลายวิธี จนพบวิธีที่ถูกต้องในที่สุด
    • การบ้านภาษาอังกฤษนี้ยาก แต่เธอก็มุ่งมั่นอยู่กับงาน เธอนั่งอยู่กับโต๊ะเรียนอย่างมีสมาธิ สุดยอด
(หากอยากฟังเสียงผมคุยกับครู อยู่ที่นี่ครับ)

  • ใช้เรื่องเล่า ใช้การเล่าเรื่อง ใช้ทั้งภาษาถิ่นและภาษาไทย หลักสำคัญคือ ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้เดิม โดยเฉพาะการเดินชีวิตของเด็ก เช่น เด็ก LD บางคน สับสนระหว่าง ก.ไก่ ถ.ถุง และ ภ.สำเภา และยิ่งจำไม่ค่อยได้กับตัวยาก ๆ อย่าง ฌ.กะเฌอ ณ.เณร วิธีการของครูตุ๋ม จะบอกว่า "่...ตัว ถ.ถุง มันต้องใส่ของนะลูก ต้องม้วนหัวเข้าเป็นถุง ไม่อย่างนั้นจะใส่สิ่งของไม่ได้ ... ส่วนตัว ภ.สำเภา คนเราต้องใช้เรือสำเภาออกไปหาปลา หัวมันต้องม้วนออก จะได้มีปลาอาหารมากิน ... ถ.ถุงกับ ม.ม้า มาเจอกันจะแปลงร่างเป็น ฌ.กะเฌอ ... หนูเข้าไปในถุงจะแปลงร่างกายเป็นเณรทันที....." เด็ก ๆ จะสนุกและจำได้ (คลิกฟังคำแนะนำของครูตุ๋มได้ที่นี่ครับ)
  • ครูควรจะมีการบันทึก ปัญหาและพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงของเด็ก ๆ ไว้ ในสมุดประจำตัวเด็กอย่างต่อเนื่อง ... หากเราทำได้ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนารายบุคคลมาก ๆ
(หากอยากฟังเสียง อ.ต๋อยพูดกับครู อยู่ที่นี่ครับ)