วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๕๐ : ผลการประเมินโครงงานบ้านวิทย์น้อย เรื่อง "ฟองสบู่แม่มด"

โครงงานจากโรงเรียนเทศบาลบ้านแมด เรื่อง "ฟองสบู่แม่มด" เป็นตัวอย่างของครูเพื่อศิษย์ท่านหนึ่ง (คุณครูสรุดา เหล่าพล) ที่พยายามอย่างมาก เพื่อศึกษา ค้นหา และทดลองสูตรส่วนผสมต่าง ๆ เพื่อทำให้ฟองสบู่มีขนาดใหญ่ ตามความต้องการของเด็กๆ และหลังจากท่านและเด็กๆ พยายามอยู่หลายวัน ก็ได้สูตรสำเร็จในการทำฟองให้มีขนาดใหญ่และอยู่ได้นาน... ผมตีความว่า วิธีที่จะปลูกฝังนักวิทย์น้อยนั้น  วิธีทีดีที่สุดคือ ตัวครูเองต้องศึกษาเรียนรู้ ทดลอง เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ ด้วยกระบวนการทดลอง แบบที่ครูสรุดา ทำนี้

ภาพรวมของโครงงาน

โครงงานนี้ถือได้ว่าเป็นโครงงานประดิษฐ์และทดลองที่แบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนที่ ๑ เริ่มจากความสนุกและสนใจเรื่องฟองสบู่ของเด็ก ๆ หลังจากได้ทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์ "สนุกกับฟองสบู่" เด็กต้องการที่จะได้ฟองสบู่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อยู่ได้นานขึ้น และมีรูปร่างต่าง ๆ กัน  ครูจึงพาเด็กศึกษา ค้นคว้า หาสูตรการทำน้ำฟองสบู่จนสำเร็จของโครงงาน อีกส่วนหนึ่งครูและเด็ก ๆ ได้ออกแบบการทดลองสำหรับปลูกฝังวัฏจักรนักวิทย์น้อยเพิ่มเติม โดยกำหนดให้ตัวแปรต้นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เป็นห่วงสร้างฟอง ที่ทำจากวัสดุและรูปร่าง ๆ ต่าง ๆ  ให้เด็ก ๆ ทดลองเป่าฟองเองว่า แบบใดจะมีฟองใหญ่กว่า และรูปต่างเป็นอย่างไร?   โดยกำหนดใช้น้ำฟองสบู่ที่ครูและเด็ก ๆ  ช่วยกันทำในตอนแรก  


ผลการประเมินตามเกณฑ์วัฏจักรนักวิทย์น้อย (ดาวน์โหลดเกณฑ์ได้ที่นี่)

ผมจะเขียนผลการประเมินเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นเหตุและผลของการให้คะแนนในแต่ละข้อของเกณฑ์ประเมิน ตามความเห็นเมื่อพิจารณาจากหลักฐาน ทั้งที่ได้อ่านจากเล่มและทั้งจากที่ได้ฟังการนำเสนอเมื่อครั้งไปลงพื้นที่โรงเรียน

๑) เป็นโครงงานหรือไม่

วิธีให้คะแนนข้อนี้ เกณฑ์กำหนดให้ดูว่ามีวัฏจักรวิจัย ๖ ขั้นตอนและต่อเนื่องเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่ให้หยุดตรวจ ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ถ้าใช่... ให้ ๑ คะแนน และหากครบกระบวนต่อเนื่องมากกว่า ๒ วงรอบ ให้ ๓ คะแนน

โครงงานนี้ผมให้คะแนน ๑ คะแนน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ถือเป็นโครงงานทดลอง มีการฝึกทักษะตามวัฏจักรนักวิทย์น้อยครบถ้วนทั้ง ๖ ขั้นตอน ๑ วงรอบ   ดังนี้
  • ชี้ชวนให้สงสัย (ตั้งคำถาม) : เด็กตั้งคำถามว่าทำอย่างไรจะได้ฟองขนาดใหญ่ขึ้น 
  • พาให้คาดเดาคำตอบ (รวบรวมความรู้และตั้งสมมติฐาน) : ครูให้นักเรียนออกแบบทั้งบนกระดาษและทำห่วงเป่าฟองขนาดต่าง ๆ จากวัสดุชนิดต่าง ๆ
  • พิสูจน์ตรวจสอบคำตอบนั้น (สำรวจตรวจสอบ พิสูจน์สมมติฐาน) : ครูและเด็กทำการทดลองเป่าฟองตาม
  • แบ่งปัน อธิบาย (อธิบายอภิปรายผลการทดลอง) : ครูให้เด็กฝึกอธิบายและบรรยายรูปร่างต่าง ๆ ของฟอง
  • ระบาย บันทึก (จดบันทึกผลการทดลอง) :เด็กวาดภาพและระบายฟองสบู่ที่ทำได้
  • สรุปผลและนำเสนอ (สรุปการทดลองและนำเสนอ) : ครูและเด็กสรุปผลลงในกระดาษปลู๊พ เด็กๆ ช่วยวาดภาพและระบายสี แล้วให้นำเสนอต่อหน้าพื้น ๆ


 ๒) ที่มาของคำถามในการทำโครงงาน

เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าเกิดจากครู ๑ คะแนน ถ้าเป็นเด็กและครูช่วยกันตั้งคำถาม ได้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กตั้งคำถามเอง จะได้ ๓ คะแนน

ผมให้ ๒ คะแนนครับ

๓) การะบวนการในการสำรวจตรวจสอบ

เกณฑข้อนี้มี ๒ ข้อย่อย ๑) ดูที่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการสำรวจตรวจสอบ ถ้าครูคิดให้ ๑ คะแนน เด็กและครูร่วมกันให้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กคิดให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนน เด็กมีส่วนร่วมในการคิดหาวัสดุที่จะนำมาทำห่วงเป่าฟอง

เกณฑ์ข้อย่อย ๒) เด็กทำเองหรือไม่ ถ้าใช่!! ให้ ๓ คะแนน ถ้าเด็กมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมได้ ๒ คะแนน และถ้าครูพานำทำตลอด จะได้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนนครับ เด็ก ๆ ได้ลงมือทำอย่างสนุกสนานครับ

๔) การรายงานผลและการบันทึกการสำราวจตรวจสอบ 

เกณฑ์บอกว่า มีการบันทึกหรือไม่? ถ้ามี ให้ดูต่อว่าสอดคล้องกับสมมติฐานหรือไม่  ถ้าใช่ ให้ ๒ คะแนน ถ้าไมสอดคล้องให้ ๑ คะแนน  ถ้าไม่มีการบันทึกให้ ไม่ให้คะแนน

ข้อนี้ ๑ คะแนน มีการให้นักเรียนวาดภาพฟองสบู่ที่ทำได้  ...  แต่ควรมีมากขึ้น โดยกำหนดให้เปรียบเทียบ และวัดขนาดและบันทึกออกมาเป็นหน่วยความยาวครับ  

๕) การสรุปและอภิปรายผลการตรวจสอบ

ข้อ ย่อย ๕.๑) เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าสิ่งที่สรุปสอดคล้องกับคำถามและผลการสำรวจให้ ๑ คะแนน ถ้าไม่ให้ ๐ คะแนน ส่วนข้อย่อย ๕.๒) ถามว่าใครเป็นนสรุป ถ้าเป็นครูให้ ๐ คะแนน  เด็กต้องมีส่วนร่วมในการสรุป ถึงจะได้ ๑ คะแนน

ข้อ ๕.๑) ให้ ๑ คะแนน และ ๕.๒) ให้ ๑ คะแนนครับ  เด็กได้มีส่วร่วมตลอดทุกกิจกรรม

๖) การส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 

เกณฑ์ กำหนดว่า ถ้าเด็กได้ฝึกการสังเกต การวัด การจำแนก การเปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา การคำนวณ การจัดกระทำกับข้อมูลและสื่อความหมายข้อมูล การลงความเห็นจากข้อมูล การพยากรณ์ ฯลฯ  เหล่านี้ อย่างน้อย  ๔ ทักษะขึ้นไป ให้ ๓ คะแนน ถ้า ๓ ทักษะให้ ๒ คะแนน และถ้า ๒ ทักษะให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ได้ไป ๒ คะแนนครับ   ได้แก่ สังเกต การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลาและการลงความเห็นจากข้อมูล

๗ การส่งเสริมพัฒนาการหรือทักษะด้านอื่นๆ 

เกณฑ์ ข้อนี้ส่งเสริมการบูรณาการวัฏจักรนักวิทย์น้อยกับการฝึกทักษะด้านอื่นๆ เช่น ด้านภาษาและการสื่อสาร ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้านสังคมเช่นการทำงานร่วมกัน ด้านการเคลื่อนไหวหรือฝึกร่างกายให้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้แข็งแรง หรือ ด้านอารมณ์และจิตใจให้เด็ก ๆ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ทักษะชีวิต ฯลฯ  โดยกำหนดว่า ถ้ามี ๔ ด้าน ขึ้นไปให้ ๓ คะแนน ถ้ามี ๓ ด้านให้ ๒ คะแนน ถ้ามี ๒ ด้านให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ให้ ๓ คะแนนครับ ได้แก่ ด้านการเรียนรู้ ด้านการเคลื่อนไหว ด้านสังคมและการทำงานร่วมกัน และด้านอารมณ์จิตใจครับ 

๘) ความริเริ่มสร้างสรรค์ของโครงงาน 

โครงงานมีความแปลใหม่หรือไม่ ถ้าคัดลอกหรือปรับเปลี่ยนโครงงานจากผู้อื่นโดยไม่ได้ทำจริง ให้ปรับตก แต่ถ้านำหัวเรื่องคนอื่นมาทำเองให้ ๑ คะแนน ถ้าครูและเด็กริเริ่มขึ้น ให้ ๒ คะแนน  แต่ถ้าเป็นโครงงานที่แปลกใหม่จริงๆ ให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนน ครับ

สรุปผลการประเมิน 

สรุป ทั้ง ๘ ข้อ โครงงานนี้ได้คะแนนรวม  ๑๗ คะแนน  ผ่านเกณฑ์ประเมิน เหมาะสมที่ได้รับตราพระราชทานครับ 

จบเท่านี้ครับ ... สู้ครับ 

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๔๘ : ผลการประเมินโครงงานบ้านวิทย์น้อย เรื่อง "ผลของดินทราย สำลี และกระดาษชำระ ต่อการเจริญเติบโตของต้นถั่ว"

โครงงานเรื่อง "ผลของดินทราย สำลี และกระดาษชำระ ต่อการเจริญเติบโตของต้นถั่ว" เป็นของนักเรียนระดับอนุบาล ๑/๑ โรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์วิทยา เป็นโครงงานเชิงทดลอง ไม่ได้เป็น "โครงงานผลิตและทดลอง" ไม่เหมือนการเพาะถั่วงอกเอามาทำอาหารของโรงเรียนเทศบาลสามัคคีวิทยา หรือ การสอนเด็กทำไข่เค็มเหมือนที่โรงเรียนเทศบาลบูรพาฯ  แต่เป็นโครงงานที่มุ่งไปที่การทดลองอย่างเดียว

ที่มา ทำอะไร อย่างไร นานแค่ไหน เด็กได้อะไร 

ในหน่วยการเรียนเรื่อง "การเจริญเติบโตของพืช" ครูถามว่า "พืชเจริญเติบโตได้อย่างไร" "เด็ก ๆ รู้จักพืชอะไรบ้าง และมอบหมายให้เด็ก ๆ ไปสอบถามผู้ปกครอง  วันรุ่งขึ้น ครูเขียนคำตอบของเด็ก ๆ (พืชกินน้ำและปุ๋ยจึงโต) ลงบนกระดาษชาร์ท (ให้เด็กมีส่วนร่วมด้วยการทาสี) แล้วนำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะเพาะต้นถั่วเขียว ก่อนจะพาเดินสำรวจหาวัสดุที่จะมาปลูกต้นถั่วเขียว จนได้ดินทราย สำลี และกระดาษชำระ มาเป็นตัวแปรต้น  เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตของถั่ว โดยควบคุมจำนวนต้นถั่วในภาชนะเดียวกัน และปริมาณน้ำ รวมถึงแสง และอุณหภมิให้เหมือนกัน

ผลการประเมินตามเกณฑ์วัฏจักรนักวิทย์น้อย (ดาวน์โหลดเกณฑ์ได้ที่นี่)

ผมจะเขียนผลการประเมินเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นเหตุและผลของการให้คะแนนในแต่ละข้อของเกณฑ์ประเมิน ตามความเห็นเมื่อพิจารณาจากหลักฐาน ทั้งที่ได้อ่านจากเล่มและทั้งจากที่ได้ฟังการนำเสนอเมื่อครั้งไปลงพื้นที่โรงเรียน

๑) เป็นโครงงานหรือไม่

วิธีให้คะแนนข้อนี้ เกณฑ์กำหนดให้ดูว่ามีวัฏจักรวิจัย ๖ ขั้นตอนและต่อเนื่องเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่ให้หยุดตรวจ ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ถ้าใช่... ให้ ๑ คะแนน และหากครบกระบวนต่อเนื่องมากกว่า ๒ วงรอบ ให้ ๓ คะแนน

โครงงานนี้ผมให้คะแนน ๑ คะแนน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ถือเป็นโครงงานทดลอง มีการฝึกทักษะตามวัฏจักรนักวิทย์น้อยครบถ้วนทั้ง ๖ ขั้นตอน ๑ วงรอบ   ดังนี้
  • ชี้ชวนให้สงสัย (ตั้งคำถาม) : ครูตั้งคำถามกระตุ้นให้เกิดความสงสัย  (คงจะ)เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนในหน่วยการเรียน
  • พาให้คาดเดาคำตอบ (รวบรวมความรู้และตั้งสมมติฐาน) : ครูมอบหมายให้เด็กๆ ไปสอบถามผู้ปกครอง แล้วคำตอบมาเล่าให้ครูและเพื่อนฟัง (เด็กอนุบาล ๑ เล่าเรื่องได้เก่งครับ ... ลูกสาวผมต้องถามนำมากหน่อย)  ผมคิดว่าน่าจะเป็นคุณครูที่ออกแบบการทดลองครับ
  • พิสูจน์ตรวจสอบคำตอบนั้น (สำรวจตรวจสอบ พิสูจน์สมมติฐาน) :พาเด็ก ๆ ปลูกต้นถั่ว  ใช้เวลาสังเกตทั้งสิ้น ๑๗ วัน
  • แบ่งปัน อธิบาย (อธิบายอภิปรายผลการทดลอง) : ครูให้เด็กอธิบาย
  • ระบาย บันทึก (จดบันทึกผลการทดลอง) :  ครูให้เด็ก ๆ วาดภาพเมล็ดถั่วเขียว และต้นถั่วที่เจริญเติบโต 
  • สรุปผลและนำเสนอ (สรุปการทดลองและนำเสนอ) :ครูออกแบบให้เด็กตัดสินใจด้วยตนเอง ว่าถั่วที่ปลูดด้วยดินชนิดใด ทำให้ถั่วเจริญเติบโตได้ดีที่สุด โดยการหยิบลูกบอลไปวางในขวดโหล แล้วช่วยเด็ก ๆ สรุปผลการทดลอง


 ๒) ที่มาของคำถามในการทำโครงงาน

เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าเกิดจากครู ๑ คะแนน ถ้าเป็นเด็กและครูช่วยกันตั้งคำถาม ได้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กตั้งคำถามเอง จะได้ ๓ คะแนน

ผมให้ ๑ คะแนนครับ

๓) การะบวนการในการสำรวจตรวจสอบ

เกณฑข้อนี้มี ๒ ข้อย่อย ๑) ดูที่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการสำรวจตรวจสอบ ถ้าครูคิดให้ ๑ คะแนน เด็กและครูร่วมกันให้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กคิดให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๑ คะแนน ชัดเจนว่าแต่ละขั้นตอนครูได้เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วมในการคิด

เกณฑ์ข้อย่อย ๒) เด็กทำเองหรือไม่ ถ้าใช่!! ให้ ๓ คะแนน ถ้าเด็กมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมได้ ๒ คะแนน และถ้าครูพานำทำตลอด จะได้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนนครับ เด็ก ๆ ได้ร่วมในทุกขั้นตอนของการปลูกถั่วตามภาพประกอบในเล่มโครงงาน

๔) การรายงานผลและการบันทึกการสำราวจตรวจสอบ 

เกณฑ์บอกว่า มีการบันทึกหรือไม่? ถ้ามี ให้ดูต่อว่าสอดคล้องกับสมมติฐานหรือไม่  ถ้าใช่ ให้ ๒ คะแนน ถ้าไมสอดคล้องให้ ๑ คะแนน  ถ้าไม่มีการบันทึกให้ ไม่ให้คะแนน

ข้อนี้ ๑ คะแนน มีการวาดภาพต้นถั่วเขียวที่กำลังเจริญเติบโต แต่ไม่ได้จำแนกระหว่างชนิดของดิน 

๕) การสรุปและอภิปรายผลการตรวจสอบ

ข้อ ย่อย ๕.๑) เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าสิ่งที่สรุปสอดคล้องกับคำถามและผลการสำรวจให้ ๑ คะแนน ถ้าไม่ให้ ๐ คะแนน ส่วนข้อย่อย ๕.๒) ถามว่าใครเป็นนสรุป ถ้าเป็นครูให้ ๐ คะแนน  เด็กต้องมีส่วนร่วมในการสรุป ถึงจะได้ ๑ คะแนน

ข้อ ๕.๑) ให้ ๑ คะแนน และ ๕.๒) ให้ ๑ คะแนนครับ  เด็กได้มีส่วร่วมตลอดทุกกิจกรรม

๖) การส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 

เกณฑ์ กำหนดว่า ถ้าเด็กได้ฝึกการสังเกต การวัด การจำแนก การเปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา การคำนวณ การจัดกระทำกับข้อมูลและสื่อความหมายข้อมูล การลงความเห็นจากข้อมูล การพยากรณ์ ฯลฯ  เหล่านี้ อย่างน้อย  ๔ ทักษะขึ้นไป ให้ ๓ คะแนน ถ้า ๓ ทักษะให้ ๒ คะแนน และถ้า ๒ ทักษะให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ได้ไป ๒ คะแนนครับ   ได้แก่ สังเกต การวัด (ถ้าเห็นข้อมูลการวัดด้วยจะดีมาก) และการลงความเห็นจากข้อมูล

๗ การส่งเสริมพัฒนาการหรือทักษะด้านอื่นๆ 

เกณฑ์ ข้อนี้ส่งเสริมการบูรณาการวัฏจักรนักวิทย์น้อยกับการฝึกทักษะด้านอื่นๆ เช่น ด้านภาษาและการสื่อสาร ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้านสังคมเช่นการทำงานร่วมกัน ด้านการเคลื่อนไหวหรือฝึกร่างกายให้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้แข็งแรง หรือ ด้านอารมณ์และจิตใจให้เด็ก ๆ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ทักษะชีวิต ฯลฯ  โดยกำหนดว่า ถ้ามี ๔ ด้าน ขึ้นไปให้ ๓ คะแนน ถ้ามี ๓ ด้านให้ ๒ คะแนน ถ้ามี ๒ ด้านให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ให้ ๒ คะแนนครับ ได้แก่ ด้านการเรียนรู้ ด้านการเคลื่อนไหว เพราะเด็กทุกคนได้ลุยเอง

๘) ความริเริ่มสร้างสรรค์ของโครงงาน 

โครงงานมีความแปลใหม่หรือไม่ ถ้าคัดลอกหรือปรับเปลี่ยนโครงงานจากผู้อื่นโดยไม่ได้ทำจริง ให้ปรับตก แต่ถ้านำหัวเรื่องคนอื่นมาทำเองให้ ๑ คะแนน ถ้าครูและเด็กริเริ่มขึ้น ให้ ๒ คะแนน  แต่ถ้าเป็นโครงงานที่แปลกใหม่จริงๆ ให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนน ครับ

สรุปผลการประเมิน 

สรุป ทั้ง ๘ ข้อ โครงงานนี้ได้คะแนนรวม  ๑๔ คะแนน  ผ่านเกณฑ์ประเมิน เหมาะสมที่ได้รับตราพระราชทานครับ 

จบเท่านี้ครับ ... สู้ครับ 

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๔๗ : ผลการประเมินโครงงานบ้านวิทย์น้อย เรื่อง "การเพาะเมล็ดทานตะวันจากดินทรายดินผสมแกลบและดินถุงสำเร็จรูป"

โครงงานจากโรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย เรื่อง "การเพาะเมล็ดทานตะวันจากดินทราย ดินผสมแกลบ และดินถุงสำเร็จรูป"   ของนักเรียนชั้น อนุบาล ๓/๓ น่าจะเป็นตัวอย่างของโครงงานที่มาจากความสนใจของเด็กจริง ๆ  ต้องขอขอบคุณ คุณครูอนงค์ นนลือชา ที่ "ฟัง" สังเกตและสนใจคำถามและความสงสัยของเด็ก ๆ และหนุนเสริมเติมแรงบันดาลใจจนมาเป็นโครงงานบ้านวิทย์เสริมทักษะชีวิตโครงงานนี้ (ดาวน์โหลดได้ที่นี่ครับ)

ภาพรวมของโครงงาน

วันหนึ่ง ในคาบเรียนเรื่อง "ผักแสนอร่อย" เด็กๆ สังเกตเห็นต้นกล้าอ่อนของต้นทานตะวันในจานสลัดผัก จึงเกิดความสงสัยถามครู  ต่อมาเมื่อครูพาเด็กๆ ไปศึกษาเรียนรู้ในสวนเกษตรพอเพียงของโรงเรียน ซึ่งรุ่นพี่ระดับประถมศึกษากำลังเพาะต้นอ่อนทานตะวันโดยใช้ดินถุงสำเร็นรูป ทำให้เด็กๆ อยากรู้อยากเห็นอยากเพาะเมล็ดทานตะวันเอง คุณครูจึงกำหนดเอาเรื่องนี้เป็นโครงงานเชิงทดลอง (ผมเรียกว่า โครงการผลิตทดลอง) โดยกำหนดตัวแปรต้นเป็นชนิดของดินเป็นตัวแปรต้นตามความสงสัยของเด็กและเป็นชนิดของดินที่เด็กเคยเห็นผู้ปกครองใช้ปลูกผัก แล้วเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของต้นอ่อนทานตะวัน (ตัวแปรตาม) โดยสังเกตและบันทึกผลทุกวัน ต่อเนื่องกัน ๔ สัปดาห์ โดยควบคุมปริมาณดิน ขนาดของภาชนะปลูก ปริมาณเมล็ดทานพันธุ์ ปริมาณน้ำ และแสดงแดด (ตัวแปรควบคุม)  ผลการทดลองพบว่า ต้นอ่อนทานตะวันมีอัตราการงอกมากที่สุดและเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในดินสำเร็จรูป รองลงมาคือดินทราย และดินผสมแกลบตามลำดับ

ผลการประเมินตามเกณฑ์วัฏจักรนักวิทย์น้อย (ดาวน์โหลดเกณฑ์ได้ที่นี่)

ผมจะเขียนผลการประเมินเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นเหตุและผลของการให้คะแนนในแต่ละข้อของเกณฑ์ประเมิน ตามความเห็นเมื่อพิจารณาจากหลักฐาน ทั้งที่ได้อ่านจากเล่มและทั้งจากที่ได้ฟังการนำเสนอเมื่อครั้งไปลงพื้นที่โรงเรียน

๑) เป็นโครงงานหรือไม่

วิธีให้คะแนนข้อนี้ เกณฑ์กำหนดให้ดูว่ามีวัฏจักรวิจัย ๖ ขั้นตอนและต่อเนื่องเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่ให้หยุดตรวจ ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ถ้าใช่... ให้ ๑ คะแนน และหากครบกระบวนต่อเนื่องมากกว่า ๒ วงรอบ ให้ ๓ คะแนน

โครงงานนี้ผมให้คะแนน ๑ คะแนน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ถือเป็นโครงงานทดลอง มีการฝึกทักษะตามวัฏจักรนักวิทย์น้อยครบถ้วนทั้ง ๖ ขั้นตอน ๑ วงรอบ   ดังนี้
  • ชี้ชวนให้สงสัย (ตั้งคำถาม) :  เกิดจากความสงสัยของเด็ก และครูอ "ตั้งคำถาม" ระดมสมองกับเด็ก ๆ
  • พาให้คาดเดาคำตอบ (รวบรวมความรู้และตั้งสมมติฐาน) :ครูใช้กระบวนการให้เด็กมีส่วนร่วมในการตั้งสมมติฐานได้อย่างยอดเยี่ยมครับ การสร้างตารางไว้บนกระดาน แล้วให้เด็ก ๆ เอากระดาษสีไปแปะติดตามคำตอบที่ตนเองคาดเดา ถือเป็นวิธีปลูกฝังกระบวนการตั้งสมมติฐานได้ดีเยี่ยมครับ คุณครูท่านอื่นควรเอาไปใช้บ้าง
  • พิสูจน์ตรวจสอบคำตอบนั้น (สำรวจตรวจสอบ พิสูจน์สมมติฐาน) : เด็กได้ได้ลงมือทดลองด้วยตนเองทุกคน และต่อเนื่องยาวนานถึง ๔ สัปดาห์
  • แบ่งปัน อธิบาย (อธิบายอภิปรายผลการทดลอง) : ในการวาดภาพต้นอ่อนทานตะวัน เด็กๆ ได้ฝึกเขียนคำอธิบายกำกับด้วย และได้เล่าอธิบายต่อครูและเพื่อน
  • ระบาย บันทึก (จดบันทึกผลการทดลอง) :  ทุกวันเวลา ๙.๐๐ น. ครูจะพาเด็กสังเกตการงอกและเติบโตของต้นอ่อนทานตะวัน แล้ววาดภาพ นับจำนวน และวัดความยาวของลองลำต้น 
  • สรุปผลและนำเสนอ (สรุปการทดลองและนำเสนอ) :  ครูพาเด็ก ๆ สรุป และให้เด็กมีส่วนร่วมในการทำชาร์ทสรุป และให้เด็กได้นำเสนอ
สาเหตุที่ผมไม่ได้ ๓ คะแนน เนื่องจาก แม้ขั้นตอนพิสูจน์ฯ อธิบาย และบันทึก จะวนซ้ำหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง  แต่ก็เป็นขั้นตอนของการบันทึกข้อมูลของการทดลองของตัวแปรชุดเดียวกัน  หากในเทอมต่อไป เด็ก ๆ ทำโครงงานเรื่องนี้อีก โดยเปลี่ยนตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้นอีก จะถือเป็นการเริ่มวงรอบที่ ๒ ครับ

 ๒) ที่มาของคำถามในการทำโครงงาน

เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าเกิดจาครู ๑ คะแนน ถ้าเป็นเด็กและครูช่วยกันตั้งคำถาม ได้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กตั้งคำถามเอง จะได้ ๓ คะแนน

ผมให้ ๓ คะแนนครับ การสังเกตความสงสัยของเด็ก ๆ  แล้วนำมาขยายเป็นโครงงานแบบนี้แหละครับ ที่จะสามารถปลูกฝังความสงสัยและ "ตั้งคำถามของเด็กๆ " ได้

๓) การะบวนการในการสำรวจตรวจสอบ

เกณฑข้อนี้มี ๒ ข้อย่อย ๑) ดูที่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการสำรวจตรวจสอบ ถ้าครูคิดให้ ๑ คะแนน เด็กและครูร่วมกันให้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กคิดให้ ๓ คะแนน

ข้อ นี้ผมให้ ๒ คะแนน ชัดเจนว่าแต่ละขั้นตอนครูได้เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วมในการคิด

เกณฑ์ ข้อย่อย ๒) เด็กทำเองหรือไม่ ถ้าใช่!! ให้ ๓ คะแนน ถ้าเด็กมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมได้ ๒ คะแนน และถ้าครูพานำทำตลอด จะได้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนนครับ  ครูตั้งคำถามนำให้เด็กได้สืบสวนความรู้เดิมของเด็ก ๆ  ที่บอกว่า เคยเห็นผู้ปกครองใช้ดินแบบไหนปลูกอะไร.... ตรงนี้ถือว่ามีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการครับ

เขีนมาถึงตรงนี้ ผมนึกขึ้นได้ว่า โครงงานเรื่อง "ไข่เค็มจากไข่ชนิดใดเจ๋งที่สุด" ก็น่าจะได้คะแนนข้อนี้เช่นกัน  เพราะครูก็ตั้งคำถามเช่นกันว่า จะนำไข่อะไรมาทำไข่เค็มดี ... (ขอกลับไปปรับคะแนนนครับ)

๔) การรายงานผลและการบันทึกการสำราวจตรวจสอบ 

เกณฑ์บอกว่า มีการบันทึกหรือไม่? ถ้ามี ให้ดูต่อว่าสอดคล้องกับสมมติฐานหรือไม่  ถ้าใช่ ให้ ๒ คะแนน ถ้าไมสอดคล้องให้ ๑ คะแนน  ถ้าไม่มีการบันทึกให้ ไม่ให้คะแนน

ข้อนี้ ๒ คะแนนแน่นอนครับ

๕) การสรุปและอภิปรายผลการตรวจสอบ

ข้อ ย่อย ๕.๑) เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าสิ่งที่สรุปสอดคล้องกับคำถามและผลการสำรวจให้ ๑ คะแนน ถ้าไม่ให้ ๐ คะแนน ส่วนข้อย่อย ๕.๒) ถามว่าใครเป็นนสรุป ถ้าเป็นครูให้ ๐ คะแนน  เด็กต้องมีส่วนร่วมในการสรุป ถึงจะได้ ๑ คะแนน

ข้อ ๕.๑) ให้ ๑ คะแนน และ ๕.๒) ให้ ๑ คะแนนครับ  เด็กได้มีส่วร่วมตลอดทุกกิจกรรม

๖) การส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 

เกณฑ์ กำหนดว่า ถ้าเด็กได้ฝึกการสังเกต การวัด การจำแนก การเปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา การคำนวณ การจัดกระทำกับข้อมูลและสื่อความหมายข้อมูล การลงความเห็นจากข้อมูล การพยากรณ์ ฯลฯ  เหล่านี้ อย่างน้อย  ๔ ทักษะขึ้นไป ให้ ๓ คะแนน ถ้า ๓ ทักษะให้ ๒ คะแนน และถ้า ๒ ทักษะให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ได้ไป ๓ คะแนนครับ   ได้แก่ สังเกต เปรียบเทียบ การวัด การจำแนก การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา และการลงความเห็นจากข้อมูล

๗ การส่งเสริมพัฒนาการหรือทักษะด้านอื่นๆ 

เกณฑ์ ข้อนี้ส่งเสริมการบูรณาการวัฏจักรนักวิทย์น้อยกับการฝึกทักษะด้านอื่นๆ เช่น ด้านภาษาและการสื่อสาร ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้านสังคมเช่นการทำงานร่วมกัน ด้านการเคลื่อนไหวหรือฝึกร่างกายให้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้แข็งแรง หรือ ด้านอารมณ์และจิตใจให้เด็ก ๆ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ทักษะชีวิต ฯลฯ  โดยกำหนดว่า ถ้ามี ๔ ด้าน ขึ้นไปให้ ๓ คะแนน ถ้ามี ๓ ด้านให้ ๒ คะแนน ถ้ามี ๒ ด้านให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ให้ ๓ คะแนนครับ ได้แก่ ด้านภาษาและการสื่อสาร (ครูให้เด็กๆ เขียนคำอธิบาย ฯลฯ) ด้านการเรียนรู้ ด้านการเคลื่อนไหว เพราะเด็กทุกคนได้ลุยเอง ด้านทักษะชีวิต (ผมหมายถึงฝึกให้เด็ก ๆ ปลูก สร้างสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง)

๘) ความริเริ่มสร้างสรรค์ของโครงงาน 

โครงงานมีความแปลใหม่หรือไม่ ถ้าคัดลอกหรือปรับเปลี่ยนโครงงานจากผู้อื่นโดยไม่ได้ทำจริง ให้ปรับตก แต่ถ้านำหัวเรื่องคนอื่นมาทำเองให้ ๑ คะแนน ถ้าครูและเด็กริเริ่มขึ้น ให้ ๒ คะแนน  แต่ถ้าเป็นโครงงานที่แปลกใหม่จริงๆ ให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนน ครับ

สรุปผลการประเมิน 

สรุปทั้ง ๘ ข้อ โครงงานนี้ได้คะแนนรวม  ๒๐ คะแนน  ผ่านเกณฑ์ประเมิน เหมาะสมที่ได้รับตราพระราชทานครับ และเหมาะสมที่จะเป็น Best Practice ในเรื่องที่มาของโครงงานและการบันทึกข้อมูลครับ 

จบเท่านี้ครับ ... สู้ครับ 

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๔๖ : ผลการประเมินโครงงานบ้านวิทย์น้อย เรื่อง "ใข่อะไรทำไข่เค็มได้เจ๋งสุด" โรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร

โครงงานที่โรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคารส่งมาชื่อ "ไข่อะไรทำไข่เค็มได้เจ๋งสุด" เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียนของนักเรียนชั้น อนุบาล ๓/๑ ครูประชั้นคือ ครูภัคควลัณชญ์ สาระลัย เป็นโครงงานที่ผมขอเรียกว่า "โครงงานผลิตและทดลอง" เพื่อให้ต่างจาก "โครงงานประดิษฐ์" ซึ่งแตกต่างกันที่จุดเน้น ที่แบบแรกเน้นเรื่อง "การผลิตและคิดวิเคราะห์" ส่วนอันหลังเน้น "การออกแบบประดิษฐ์และการคิดสร้างสรรค์"

อะไร อย่างไร นานแค่ไหน เด็กได้อะไร

ครูพาเด็ก ๆ ทำไข่เค็มด้วยไข่ ๓ ชนิด (ตัวแปรต้น) ได้แก่ ไข่เป็ด ไข่ไก่ และไข่นกกระทา แล้วให้เด็กทดลองชิม แล้วลงความเห็นว่า ไข่ชนิดใดรสชาติดีที่สุด (คำว่า "เจ๋ง" ในชื่อโครงงานคือ "รสชาติดี" เด็กชอบที่สุด) ความเค็มของไข่คือตัวแปรตาม

ผมตีความว่า ครูต้องการจะสอนวิธีการทางวิทยาศาสตร์ให้นักเรียนเป็นหลัก เพราะนอกจากจะกำหนดชนิดของไข่เป็นตัวแปรต้นแล้ว ครูยังออกแบบให้เด็ก ๆ นำไข่ดองออกมาต้มและชิมทุกสัปดาห์ ติดต่อกันถึง ๓ สัปดาห์ และให้เด็กๆ ได้วาดภาพลงในใบงาน (แบบบันทึกข้อมูล) ทุกขั้นตอนของการทดลอง ซึ่งมี ๖ ขั้นตอน ได้แก่  ให้วาดภาพบอกวิธีการเก็บไข่ไว้กินนาน -> วาดไข่ชนิดต่างๆที่สามารถนำทำไข่เค็มได้บ้าง -> ให้วาดภาพอุปกรณ์การทำไข่เค็ม -> วาดภาพขั้นตอนการทำไข่เค็ม -> วาดภาพไข่เค็มในขวดโหลทั้ง ๓ ชนิด -> ให้ทำรูปหัวใจไว้ที่ไข่ชนิดที่ชื่นชอบรสชาติที่สุด

นอกจากจะได้เรียนรู้จากการทดลองแล้ว นักเรียนคงจะชอบมาก เพราะได้กิน ชิมไข่ และได้ตัดสินใจด้วยตนเองว่า ไข่ใบไหนอร่อยที่สุด


ผลการประเมินตามเกณฑ์วัฏจักรนักวิทย์น้อย (ดาวน์โหลดเกณฑ์ได้ที่นี่)

ผม จะเขียนผลการประเมินเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นเหตุและผลของการให้คะแนนในแต่ละข้อของเกณฑ์ประเมิน ตามความเห็นเมื่อพิจารณาจากหลักฐาน ทั้งที่ได้อ่านจากเล่มและทั้งจากที่ได้ฟังการนำเสนอเมื่อครั้งไปลงพื้นที่โรงเรียน

๑) เป็นโครงงานหรือไม่

วิธีให้คะแนนข้อนี้ เกณฑ์กำหนดให้ดูว่ามีวัฏจักรวิจัย ๖ ขั้นตอนและต่อเนื่องเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่ให้หยุดตรวจ ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ถ้าใช่... ให้ ๑ คะแนน และหากครบกระบวนต่อเนื่องมากกว่า ๒ วงรอบ ให้ ๓ คะแนน

โครงงานนี้ผมให้คะแนน ๑ คะแนน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ถือเป็นโครงงานทดลอง มีการฝึกทักษะตามวัฏจักรนักวิทย์น้อยครบถ้วนทั้ง ๖ ขั้นตอน ๑ วงรอบ   ดังนี้
  • ชี้ชวนให้สงสัย (ตั้งคำถาม) : ครูตั้งคำถามให้เด็ก ๆ วาดภาพคำตอบของตน ลงบนใบงาน
  • พาให้คาดเดาคำตอบ (รวบรวมความรู้และตั้งสมมติฐาน) : คาดเดาว่าไข่ชนิดใดจะรสชาติดีที่สุด
  • พิสูจน์ตรวจสอบคำตอบนั้น (สำรวจตรวจสอบ พิสูจน์สมมติฐาน) : พาเด็ก ๆ ทำไข่เข็มจากไข่ ๓ ชนิด และให้เด็ก ๆ ชิมทดลองพิสูจน์คำตอบของตน
  • แบ่งปัน อธิบาย (อธิบายอภิปรายผลการทดลอง) : เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้อธิบายให้ฟังในชั้นเรียน
  • ระบาย บันทึก (จดบันทึกผลการทดลอง) :ให้เด็ก ๆ บันทึกข้อมูลด้วยใบงาน/ใบบันทึก เป็นภาพวาด
  • สรุปผลและนำเสนอ (สรุปการทดลองและนำเสนอ) :ครูและเด็กช่วยกันสรุปว่า ไข่เค็มจากไข่ชนิดใดมีรสชาติดีที่สุด 
สาเหตุที่ผมไม่ได้ ๓ คะแนน เนื่องจาก แม้ขั้นตอนพิสูจน์ฯ อธิบาย และบันทึก จะวนซ้ำอย่างน้อย ๓ รอบ แต่สองขั้นตอนแรกนั้นทำเพียงครั้งเดียว ครับ 

 ๒) ที่มาของคำถามในการทำโครงงาน

เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าเกิดจาครู ๑ คะแนน ถ้าเป็นเด็กและครูช่วยกันตั้งคำถาม ได้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กตั้งคำถามเอง จะได้ ๓ คะแนน

ผม ให้ ๑ คะแนนครับ ครูเป็นคนคิดและนำเอากิจกรรมการเรียนการสอนมาจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยโครง งานสำรวจ  ถือเป็นโครงใหญ่ (เด็กทั้งห้อง) ที่ครูต้องการปลูกฝังทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้เด็ก ๆ

๓) การะบวนการในการสำรวจตรวจสอบ

เกณฑข้อนี้มี ๒ ข้อย่อย ๑) ดูที่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการสำรวจตรวจสอบ ถ้าครูคิดให้ ๑ คะแนน เด็กและครูร่วมกันให้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กคิดให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๑ คะแนน เช่นกันครับ ครูเป็นคนพาคิด พาทำ ....ผมคิดว่าเป็นเพราะเจตนาของครูที่ต้องการฝึกเชิงสาธิตมากกว่า เพื่อสร้างพื้นฐานของการทำโครงงานด้วยตนเองต่อไป

เกณฑ์ ข้อย่อย ๒) เด็กทำเองหรือไม่ ถ้าใช่!! ให้ ๓ คะแนน ถ้าเด็กมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมได้ ๒ คะแนน และถ้าครูพานำทำตลอด จะได้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนนครับ

๔) การรายงานผลและการบันทึกการสำราวจตรวจสอบ 

เกณฑ์บอกว่า มีการบันทึกหรือไม่? ถ้ามี ให้ดูต่อว่าสอดคล้องกับสมมติฐานหรือไม่  ถ้าใช่ ให้ ๒ คะแนน ถ้าไมสอดคล้องให้ ๑ คะแนน  ถ้าไม่มีการบันทึกให้ ไม่ให้คะแนน

ข้อนี้ ๒ คะแนนแน่นอนครับ

๕) การสรุปและอภิปรายผลการตรวจสอบ

ข้อ ย่อย ๕.๑) เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าสิ่งที่สรุปสอดคล้องกับคำถามและผลการสำรวจให้ ๑ คะแนน ถ้าไม่ให้ ๐ คะแนน ส่วนข้อย่อย ๕.๒) ถามว่าใครเป็นนสรุป ถ้าเป็นครูให้ ๐ คะแนน  เด็กต้องมีส่วนร่วมในการสรุป ถึงจะได้ ๑ คะแนน

ข้อ ๕.๑) ให้ ๑ คะแนน และ ๕.๒) ให้ ๑ คะแนนครับ  เด็กได้มีส่วร่วมตลอดทุกกิจกรรม

๖) การส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 

เกณฑ์ กำหนดว่า ถ้าเด็กได้ฝึกการสังเกต การวัด การจำแนก การเปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา การคำนวณ การจัดกระทำกับข้อมูลและสื่อความหมายข้อมูล การลงความเห็นจากข้อมูล การพยากรณ์ ฯลฯ  เหล่านี้ อย่างน้อย  ๔ ทักษะขึ้นไป ให้ ๓ คะแนน ถ้า ๓ ทักษะให้ ๒ คะแนน และถ้า ๒ ทักษะให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ได้ไป ๓ คะแนนครับ   ได้แก่ สังเกต เปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (จากการสังเกตและวาดรูปไข่ต่างขนาด และการเปลี่ยนแปลงในแต่ละสัปดาห์) และการลงความเห็นจากข้อมูล

๗ การส่งเสริมพัฒนาการหรือทักษะด้านอื่นๆ 

เกณฑ์ ข้อนี้ส่งเสริมการบูรณาการวัฏจักรนักวิทย์น้อยกับการฝึกทักษะด้านอื่นๆ เช่น ด้านภาษาและการสื่อสาร ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้านสังคมเช่นการทำงานร่วมกัน ด้านการเคลื่อนไหวหรือฝึกร่างกายให้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้แข็งแรง หรือ ด้านอารมณ์และจิตใจให้เด็ก ๆ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ทักษะชีวิต ฯลฯ  โดยกำหนดว่า ถ้ามี ๔ ด้าน ขึ้นไปให้ ๓ คะแนน ถ้ามี ๓ ด้านให้ ๒ คะแนน ถ้ามี ๒ ด้านให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ให้ ๓ คะแนนครับ ได้แก่ ด้านการสื่อสาร ด้านการเรียนรู้ เช่น การคิดวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ด้านการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อมัดเล็กจากการปกไข่ ฯลฯ ได้ทักษะชีวิต และด้านอารมณ์จิตใจ

๘) ความริเริ่มสร้างสรรค์ของโครงงาน 

โครงงานมีความแปลใหม่หรือไม่ ถ้าคัดลอกหรือปรับเปลี่ยนโครงงานจากผู้อื่นโดยไม่ได้ทำจริง ให้ปรับตก แต่ถ้านำหัวเรื่องคนอื่นมาทำเองให้ ๑ คะแนน ถ้าครูและเด็กริเริ่มขึ้น ให้ ๒ คะแนน  แต่ถ้าเป็นโครงงานที่แปลกใหม่จริงๆ ให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๑ คะแนน ครับ

สรุปผลการประเมิน 

สรุปทั้ง ๘ ข้อ โครงงานนี้ได้คะแนนรวม  ๑๕ คะแนน  ผ่านเกณฑ์ประเมิน เหมาะสมที่ได้รับตราพระราชทานครับ

จบเท่านี้ครับ ... สู้ครับ 

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๔๕ : ผลการประเมินโครงงานเรื่อง "กลิ่นอะไรเอ่ย" โรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี

โครงงานบ้านวิทย์น้อยจากโรงเรียนโพธิ์ศรี เป็นโครงงานเชิงสำรวจของนักเรียนระดับอนุบาล ๓ คุณครูภาวนา ดวงเพียราช  นำเอาหนึ่งในบทเรียนและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ตามหลักสูตร มาบูรณาการกับการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับวัฏจักรนักวิทย์น้อย  เชิญดาวน์โหลดเล่มโครงงานได้ที่นี่

โครงงานอะไร  ใคร ที่ไหน อย่างไร เด็ก ๆ ได้อะไร

ครูภาวนา นำเอาหน่วยการเรียนเรื่อง "หนูน้อยนักสัมผัส" มาจัดกระบวนการตามวัฏนจักรนักวิทย์น้อย โดยเครื่องมือการเรียนรู้ที่นำมาใช้คือการ ให้คำถามกับหเด็ก ๆ ว่า  "กลิ่นอะไรเอ่ย?" กับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเด็ก  เด็กใช้จมูกดมกลิ่นสิ่งต่าง ๆ ที่ครูเตรียมไว้ และค่อย ๆ ให้ค้นหาคำตอบเกี่ยวกับกลิ่นของสิ่งต่าง ๆ เอง (ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด) โดยค่อยๆ ขยายขอบเขตในการสำรวจออกไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ กลิ่นตัวเอง กลิ่นเพื่อน กลิ่นสิ่งต่าง ๆ ในห้องเรียน ในโรงเรียน ที่บ้าน ฯลฯ  แต่ละขอบเขตกระบวนการจะเสร็จสิ้นเป็นรอบ ๆ ไป

กระบวนการของครูภาวนา เริ่มจากการ ใช้คำถาม "สร้างการเรียนรู้" ให้เด็กค้นหาคำตอบโดยการตั้งคำถามกับครูหรือผู้ปกครอง และจดบันทึกด้วยการวาดรูปสิ่งของลงในช่องว่างต่างกลิ่น (กระดาษแข็งแบ่งวงกลมเป็น ๓ ส่วนด้วยสี) โดยใช้สัญลักษณ์ รูปดาวสำหรับกลิ่นหอม รูปสามเหลี่ยมสำหรับกลิ่นเหม็น และรูปวงกลมสำหรับสิ่งที่ไม่มีกลิ่น  ก่อนจะพาสรุปองค์ความรู้ด้วยการนำเสนอและระดมข้อมูลกัน และครูสรุปเป็นแผนผังความคิดไว้เป็นหลักฐานของกระบวนการเรียนรู้

กิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียนโพธิ์ศรีนี้ ถือได้ว่าเป็นโครงงานสำรวจ ที่มีตัวแปรต้น (ตัวแปรอิสระ) เป็นขอบเขตของสถานที่ที่ให้เด็ก ๆ สำรวจ ได้แก่  ห้องเรียน ในบริเวณโรงเรียน และที่บ้าน  ตัวแปลตามเป็นชนิดของสิ่งต่างๆ ที่เด็กสำรวจพบ และตัวแปรควบคุมก็เป็น สถานที่ขอบเขตและกรอบของการศึกษา  "เครื่องมือวิจัย" ในการสังเกต (เรียกอย่างเท่) คือ แบบบันทึกขนาดใหญ่ที่ให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วม

ผลการประเมินตามเกณฑ์วัฏจักรนักวิทย์น้อย (ดาวน์โหลดเกณฑ์ได้ที่นี่)

ผมจะเขียนผลการประเมินเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นเหตุและผลของการให้คะแนนในแต่ละข้อของเกณฑ์ประเมิน ตามความเห็นเมื่อพิจารณาจากหลักฐาน ทั้งที่ได้อ่านจากเล่มและทั้งจากที่ได้ฟังการนำเสนอเมื่อครั้งไปลงพื้นที่โรงเรียน

๑) เป็นโครงงานหรือไม่

วิธี ให้คะแนนข้อนี้ เกณฑ์กำหนดให้ดูว่ามีวัฏจักรวิจัย ๖ ขั้นตอนและต่อเนื่องเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่ให้หยุดตรวจ ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ถ้าใช่... ให้ ๑ คะแนน และหากครบกระบวนต่อเนื่องมากกว่า ๒ วงรอบ ให้ ๓ คะแนน

โครงงานนี้ผมให้คะแนน ๓ คะแนน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ถือเป็นโครงงานสำรวจ มีการฝึกทักษะตามวัฏจักรนักวิทย์น้อยครบถ้วนทั้ง ๖ ขั้นตอนต่อเนื่องกัน ๓ วงรอบ   ดังนี้
  • ชี้ชวนให้สงสัย (ตั้งคำถาม) : ครูตั้งคำถามชวนให้เด็ก ๆ หาคำตอบ และตั้งคำถามขยายขอบเขตความรู้ด้วยตนเองต่อไป
  • พาให้คาดเดาคำตอบ (รวบรวมความรู้และตั้งสมมติฐาน) :  ครูให้เด็ก คาดเดาก่อนว่า อะไรมีกลิ่นไม่มีกลิ่น อะไรหอม อะไรเหม็น ฯลฯ ก่อนจะทดลอง
  • พิสูจน์ตรวจสอบคำตอบนั้น (สำรวจตรวจสอบ พิสูจน์สมมติฐาน) : ตรวจสอบพิสูจน์ด้วยการดมด้วยตนเอง
  • แบ่งปัน อธิบาย (อธิบายอภิปรายผลการทดลอง) : บันทึกข้อมูลกันเป็นกลุ่ม ให้อธิบายให้เพื่อนและครูฟัง
  • ระบาย บันทึก (จดบันทึกผลการทดลอง) :  กระดาษช่องว่างต่างกลิ่น ที่ให้เด็ก ๆได้ บันทึกผลการสำรวจ
  • สรุปผลและนำเสนอ (สรุปการทดลองและนำเสนอ) :  กระดาษสรุปและแผนผังความคิด
 ๒) ที่มาของคำถามในการทำโครงงาน

เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าเกิดจาครู ๑ คะแนน ถ้าเป็นเด็กและครูช่วยกันตั้งคำถาม ได้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กตั้งคำถามเอง จะได้ ๓ คะแนน

ผม ให้ ๑ คะแนนครับ ครูเป็นคนคิดและนำเอากิจกรรมการเรียนการสอนมาจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยโครงงานสำรวจ  ถือเป็นโครงใหญ่ (เด็กทั้งห้อง) ที่ครูต้องการปลูกฝังทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้เด็ก ๆ

๓) การะบวนการในการสำรวจตรวจสอบ

เก ณฑข้อนี้มี ๒ ข้อย่อย ๑) ดูที่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการสำรวจตรวจสอบ ถ้าครูคิดให้ ๑ คะแนน เด็กและครูร่วมกันให้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กคิดให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๑ คะแนน เช่นกันครับ ครูเป็นคนพาคิด พาทำ ....  ซึ่งผมคิดว่าจำเป็นสำหรับเด็กอนุบาลและการเริ่มต้นฝึกในปีแรก

เกณฑ์ ข้อย่อย ๒) เด็กทำเองหรือไม่ ถ้าใช่!! ให้ ๓ คะแนน ถ้าเด็กมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมได้ ๒ คะแนน และถ้าครูพานำทำตลอด จะได้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนนครับ

๔) การรายงานผลและการบันทึกการสำราวจตรวจสอบ 

เกณฑ์ บอกว่า มีการบันทึกหรือไม่? ถ้ามี ให้ดูต่อว่าสอดคล้องกับสมมติฐานหรือไม่  ถ้าใช่ ให้ ๒ คะแนน ถ้าไมสอดคล้องให้ ๑ คะแนน  ถ้าไม่มีการบันทึกให้ ไม่ให้คะแนน

ข้อนี้ ๒ คะแนนแน่นอนครับ ดังที่อธิบายไปแล้ว

๕) การสรุปและอภิปรายผลการตรวจสอบ

ข้อ ย่อย ๕.๑) เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าสิ่งที่สรุปสอดคล้องกับคำถามและผลการสำรวจให้ ๑ คะแนน ถ้าไม่ให้ ๐ คะแนน ส่วนข้อย่อย ๕.๒) ถามว่าใครเป็นนสรุป ถ้าเป็นครูให้ ๐ คะแนน  เด็กต้องมีส่วนร่วมในการสรุป ถึงจะได้ ๑ คะแนน

ข้อ ๕.๑) ให้ ๑ คะแนน และ ๕.๒) ให้ ๑ คะแนนครับ  เด็กได้มีส่วร่วมตลอดทุกกิจกรรม

๖) การส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 

เกณฑ์ กำหนดว่า ถ้าเด็กได้ฝึกการสังเกต การวัด การจำแนก การเปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา การคำนวณ การจัดกระทำกับข้อมูลและสื่อความหมายข้อมูล การลงความเห็นจากข้อมูล การพยากรณ์ ฯลฯ  เหล่านี้ อย่างน้อย  ๔ ทักษะขึ้นไป ให้ ๓ คะแนน ถ้า ๓ ทักษะให้ ๒ คะแนน และถ้า ๒ ทักษะให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ได้ไป ๓ คะแนนครับ   ได้แก่ สังเกต เปรียบเทียบ การจัดกระทำกับข้อมูลและสื่อความหมายข้อมูล การลงความเห็นจากข้อมูล

๗ การส่งเสริมพัฒนาการหรือทักษะด้านอื่นๆ 

เกณฑ์ ข้อนี้ส่งเสริมการบูรณาการวัฏจักรนักวิทย์น้อยกับการฝึกทักษะด้านอื่นๆ เช่น ด้านภาษาและการสื่อสาร ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้านสังคมเช่นการทำงานร่วมกัน ด้านการเคลื่อนไหวหรือฝึกร่างกายให้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้แข็งแรง หรือ ด้านอารมณ์และจิตใจให้เด็ก ๆ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ทักษะชีวิต ฯลฯ  โดยกำหนดว่า ถ้ามี ๔ ด้าน ขึ้นไปให้ ๓ คะแนน ถ้ามี ๓ ด้านให้ ๒ คะแนน ถ้ามี ๒ ด้านให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ให้ ๓ คะแนนครับ ได้แก่ ด้านการสื่อสาร ด้านการเรียนรู้ เช่น การคิดวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ด้านการเคลื่อนไหว มีการเรียนรู้นอกห้องเรียน และด้านอารมณ์จิตใจ ที่ครูสนใจอย่างยิ่งที่จะให้เด็ก ๆ เรียนรู้อย่างสนุกสนาน

๘) ความริเริ่มสร้างสรรค์ของโครงงาน 

โครงงานมีความแปลใหม่หรือไม่ ถ้าคัดลอกหรือปรับเปลี่ยนโครงงานจากผู้อื่นโดยไม่ได้ทำจริง ให้ปรับตก แต่ถ้านำหัวเรื่องคนอื่นมาทำเองให้ ๑ คะแนน ถ้าครูและเด็กริเริ่มขึ้น ให้ ๒ คะแนน  แต่ถ้าเป็นโครงงานที่แปลกใหม่จริงๆ ให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๑ คะแนน ครับ

สรุปผลการประเมิน 

สรุปทั้ง ๘ ข้อ โครงงานนี้ได้คะแนนรวม  ๑๘ คะแนน  ผ่านเกณฑ์ประเมิน เหมาะสมที่ได้รับตราพระราชทานครับ

จบเท่านี้ครับ ... สู้ครับ 

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๔๔ : ผลการประเมินโครงงานเรื่อง "ถั่วงอกขาวในขวดพลาสติก" โรงเรียนเทศบาลสามัคคีวิทยา


ตัวอย่างโครงงานระดับปฐมวัยจากโรงเรียนเทศบาลสามัคคี มีชื่อว่า  "ถั่วงอกขาวในขวดพลาสติก"  โดยมีครูดาลัด นะตะ เป็นครูที่ปรึกษา (ผมเข้าใจว่าเป็นครูประจำชั้นด้วย)  ผมได้รับทั้งแบบรูปเล่มและแบบไฟล์คอมพิวเตอร์  (ท่านที่สนใจดาวโหลดได้ที่นี่ครับ)  บันทึกนี้ไม่ได้หวังจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อ่าน แต่เขียนเพื่อสื่อสารกับคณะครูใน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม โดยเฉพาะ เพื่อสะท้อนป้อนกลับผลการจัดการเรียนรู้จากการทำโครงงานของนักเรียนปฐมวัย  เพื่อท่านที่เกี่ยวข้องจะได้นำไปพิจารณา


ที่มา ที่ไป ทำอย่างไร เกิดอะไร เด็กได้อะไร 

วันหนึ่งครูสังเกตเห็นเด็กๆ เหลือถั่วงอกไว้ในจานกับข้าวอาหารกลางวัน  เด็ก ๆ เลือกกินหมูและเต้าฮู้แต่ไม่กินผัก  ครูจึงนำเรื่องการกินถั่วงอกมาคุยในชั้นเรียน ในบทเรียนชื่อ "ผักแสนอร่อย" ครูใช้วิธีการตั้งคำถาม ให้เด็กๆ ตอบ  โดยเชื่อมโยงไปถึงประสบการณ์ที่บ้านของเด็กและความสนใจของเด็ก ๆ สุดท้ายได้เรื่องว่า จะปลูกถั่วงอกในขวดพลาสติก โครงงานผลิตและทดลองโดยใช้เวลา ๕ วันจึงเริ่มขึ้น

กระบวนการ "พาเพลิน"  (ผมเรียกเองครับ เป็นคำอ่านจาก PAR-PLEAN ย่อมาจาก Participatory Action Research by Play and Learn) มี ๓ ระยะ ดังนี้  ระยะที่ ๑) (ระยะเริ่ม) ครูตั้งคำถามเกี่ยวกับถั่วงอกให้เด็ก ๆ ตอบ ครูสรุปเป็นแผนผังความคิด (Mind Mapping)  ระยะที่ ๒) (ระยะพัฒนาโครงการ) ครูพานักเรียนปลูกถั่วงอกในขวดพลาสติกใส (หนึ่งขวดต่อหนึ่งคน) โดยครูเป็นผู้ช่วยเท่าที่จำเป็น เช่น ใช้คัดเตอร์ตัดขวด ฯลฯ ให้เด็กๆ รดน้ำเช้า-เย็น เป็นเวลา ๓ วัน พร้อมจดบันทึกด้วยการวาดรูปลงในกระดาษ และระยะที่ ๓) (ระยะสรุปโครงการ) เอาถั่วงอกมาประกอบอาหารรับประทานและพาเด็ก ๆ สรุปสะท้อนการเรียนรู้ด้วยการตั้งคำถามให้ตอบ สรุปเป็นผังความคิด แล้วมอบให้ตัวแทนกลุ่มออกมานำเสนอ

ครูดาลัด ฝึกกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ให้เด็ก ๆ โดยให้สังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างในการเจริญเติมโตของถั่วงอกในขวดพลาสติกที่ปิดในถุงดำกับไม่ปิดในถุงดำ ให้ตัวแปรต้น(ตัวแปรอิสระ)แสงสว่าง ตัวแปรตามเป็นการเจริญเติบโตของถั่วงอก และตัวแปรควบคุมคือภาชนะปลูก จำนวนถั่วเขียว และการรดน้ำเหมือนกัน

เด็ก ๆ ที่ได้ลงมือทำตามกระบวนการวัฏจักรนักวิทย์น้อยย่อมได้รับการปลูกฝังทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ความสุขและความสนุกกับการเรียนผ่านการทำโครงงานนี้ ถือเป็นการบ่มเพาะเจตคติที่ดีต่อการเป็นนักวิทย์ฯ ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้แล้ว โครงงานนี้จะมีจุดเด่นเรื่องการปลูกฝังทักษะชีวิตให้กับเด็ก ๆ  ได้อย่างดียิ่ง 

ผลการประเมิน

ผมจะเขียนผลการประเมินเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นเหตุและผลของการให้คะแนนในแต่ละข้อของเกณฑ์ประเมิน (ดาวน์โหลดที่นี่) ตามความเห็นเมื่อพิจารณาจากหลักฐาน ทั้งที่ได้อ่านจากเล่มและทั้งจากที่ได้ฟังการนำเสนอเมื่อครั้งไปลงพื้นที่โรงเรียน

๑) เป็นโครงงานหรือไม่

วิธีให้คะแนนข้อนี้ เกณฑ์กำหนดให้ดูว่ามีวัฏจักรวิจัย ๖ ขั้นตอนและต่อเนื่องเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่ให้หยุดตรวจ ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ถ้าใช่... ให้ ๑ คะแนน และหากครบกระบวนต่อเนื่องมากกว่า ๒ วงรอบ ให้ ๓ คะแนน

โครงงานนี้ผมให้คะแนน ๑ คะแนน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ถือเป็นโครงงานประเภททดลองได้ชัดเจน และมีการฝึกทักษะตามวัฏจักรนักวิทย์น้อยครบถ้วน ๑ วงรอบ  โดยเฉพาะการบูรณาการเพื่อสอนทักษะชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม ดังนี้
  • ชี้ชวนให้สงสัย (ตั้งคำถาม)  :  ครูตั้งคำถามนำไปสู่ความสนใจและสงสัย เด็กได้ฝึกตั้งคำถามจากความสงสัยของตน โดยหยิบเอาปัญหาจริงที่พบและใกล้ตัวเด็ก
  • พาให้คาดเดาคำตอบ (รวบรวมความรู้และตั้งสมมติฐาน) : ขั้นนี้ครูตั้งคำถามให้เด็ก ๆ ได้ระดมความรู้และประสบการณ์จากทางบ้านในการปลูกถั่วงอก (ของผู้ปกครองบางท่าน) เป็นการพาเด็กสืบสวนความรู้ได้ดียิ่ง จนนำมาสู่การทดลองเกี่ยวกับ "อาหารของถั่วงอก" 
  • พิสูจน์ตรวจสอบคำตอบนั้น (สำรวจตรวจสอบ พิสูจน์สมมติฐาน) : ครูพาเด็กๆ ทำได้ดีมาก เด็กๆ ได้ฝึกหลายหลากทักษะวิทยาศาสตร์ 
  • แบ่งปัน อธิบาย (อธิบายอภิปรายผลการทดลอง) :ครูใช้การตั้งคำถาม ให้เด็กๆ อธิบายและแสดงความคิดเห็น 
  • ระบาย บันทึก (จดบันทึกผลการทดลอง) : การบันทึกโดยการวาดภาพถั่วงอกเป็น ๒ คอลัมน์เปรียบเทียบกัน 
  • สรุปผลและนำเสนอ (สรุปการทดลองและนำเสนอ)  :  ครูใช้การตั้งคำถาม นำให้เด็ก ๆ สรุป ครูเขียนลงในกระดาษปลู๊ฟ แล้วให้เด็ก ๆ ออกมานำเสนอหน้าชั้น (แม้ว่ารูปที่เด็กนำเสนอแผนผังหน้าชั้นจะดูเกินจริง)
 ๒) ที่มาของคำถามในการทำโครงงาน

เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าเกิดจาครู ๑ คะแนน ถ้าเป็นเด็กและครูช่วยกันตั้งคำถาม ได้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กตั้งคำถามเอง จะได้ ๓ คะแนน

ผมให้ ๒ คะแนนครับ  เป็นการสร้างแรงบันดาลใจและการไกด์ด้วยคำถามของครู จนนำมาสู่โครงงาน  ... ผมคิดว่า หากทำโครงงานต่อเนื่อง เด็กๆ จะเกิดทักษะในการตั้งคำถามเองได้ในปีถัด ๆ ไป

๓) การะบวนการในการสำรวจตรวจสอบ

เกณฑข้อนี้มี ๒ ข้อย่อย ๑) ดูที่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการสำรวจตรวจสอบ ถ้าครูคิดให้ ๑ คะแนน เด็กและครูร่วมกันให้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กคิดให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๑ คะแนนครับ ครูเป็นคนพาคิด พาทำ ....  ซึ่งผมคิดว่าจำเป็นสำหรับเด็กอนุบาลและการเริ่มต้นฝึกในปีแรก

เกณฑ์ข้อย่อย ๒) เด็กทำเองหรือไม่ ถ้าใช่!! ให้ ๓ คะแนน ถ้าเด็กมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมได้ ๒ คะแนน และถ้าครูพานำทำตลอด จะได้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนนครับ

๔) การรายงานผลและการบันทึกการสำราวจตรวจสอบ 

เกณฑ์บอกว่า มีการบันทึกหรือไม่? ถ้ามี ให้ดูต่อว่าสอดคล้องกับสมมติฐานหรือไม่  ถ้าใช่ ให้ ๒ คะแนน ถ้าไมสอดคล้องให้ ๑ คะแนน  ถ้าไม่มีการบันทึกให้ ไม่ให้คะแนน

ข้อนี้ ๒ คะแนนแน่นอนครับ

๕) การสรุปและอภิปรายผลการตรวจสอบ

ข้อย่อย ๕.๑) เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าสิ่งที่สรุปสอดคล้องกับคำถามและผลการสำรวจให้ ๑ คะแนน ถ้าไม่ให้ ๐ คะแนน ส่วนข้อย่อย ๕.๒) ถามว่าใครเป็นนสรุป ถ้าเป็นครูให้ ๐ คะแนน  เด็กต้องมีส่วนร่วมในการสรุป ถึงจะได้ ๑ คะแนน

ข้อ ๕.๑) ให้ ๑ คะแนน และ ๕.๒) ให้ ๑ คะแนนครับ  ... อย่างไรก็ดี ผมรู้สึกว่า คุณครูอาจจะห่วงคะแนนมากเกินไป  ดูจากภาพที่ ๒๖ ที่เด็กปฐมวัยที่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้กำลังชี้ไม้ไปที่ชาร์ทที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือที่ครูเขียน

๖) การส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 

เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าเด็กได้ฝึกการสังเกต การวัด การจำแนก การเปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา การคำนวณ การจัดกระทำกับข้อมูลและสื่อความหมายข้อมูล การลงความเห็นจากข้อมูล การพยายกรณ์ ฯลฯ  เหล่านี้ อย่างน้อย  ๔ ทักษะขึ้นไป ให้ ๓ คะแนน ถ้า ๓ ทักษะให้ ๒ คะแนน และถ้า ๒ ทักษะให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ได้ไป ๓ คะแนนครับ   ได้แก่ สังเกต เปรียบเทียบ การวัด การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา 

๗ การส่งเสริมพัฒนาการหรือทักษะด้านอื่นๆ 

เกณฑ์ข้อนี้ส่งเสริมการบูรณาการวัฏจักรนักวิทย์น้อยกับการฝึกทักษะด้านอื่นๆ เช่น ด้านภาษาและการสื่อสาร ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้านสังคมเช่นการทำงานร่วมกัน ด้านการเคลื่อนไหวหรือฝึกร่างกายให้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้แข็งแรง หรือ ด้านอารมณ์และจิตใจให้เด็ก ๆ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ทักษะชีวิต ฯลฯ  โดยกำหนดว่า ถ้ามี ๔ ด้าน ขึ้นไปให้ ๓ คะแนน ถ้ามี ๓ ด้านให้ ๒ คะแนน ถ้ามี ๒ ด้านให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ให้ ๓ คะแนนครับ ได้แก่ ด้านการเรียนรู้ ด้านสังคม และด้านอารมณ์และจิตใจครับ ยิ่งไปกว่านั้นคือเด็กได้ทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศษรฐกิจพอเพียงในการพึ่งตนเองด้วย

๘) ความริเริ่มสร้างสรรค์ของโครงงาน 

โครงงานมีความแปลใหม่หรือไม่ ถ้าคัดลอกหรือปรับเปลี่ยนโครงงานจากผู้อื่นโดยไม่ได้ทำจริง ให้ปรับตก แต่ถ้านำหัวเรื่องคนอื่นมาทำเองให้ ๑ คะแนน ถ้าครูและเด็กริเริ่มขึ้น ให้ ๒ คะแนน  แต่ถ้าเป็นโครงงานที่แปลกใหม่จริงๆ ให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๑ คะแนน ครับ

สรุปผลการประเมิน 

สรุปทั้ง ๘ ข้อ โครงงานนี้ได้คะแนนรวม  ๑๗ คะแนน  ผ่านเกณฑ์ประเมิน เหมาะสมที่ได้รับตราพระราชทานครับ

สู้ต่อไปครับ...  ต้องทำต่อเนื่องให้เด็กเกิดทักษะกระบวนการจริง ๆ ครับ