วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

PLC มหาสารคาม ประจำปี ๒๕๕๗ (๗)_ PBL ที่ดีครูควรมีบทบาทอย่างไร

เวที PLC มหาสารคาม ครั้งที่ ๒ ประจำปี ๒๕๕๗ ในวันที่ ๒๑-๒๒ เมษายน ที่ผ่านมา เราคุยกันเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบ PBL ที่มี "รูปแบบ" "ไร้รูปแบบ" จนถึงขั้น "ริเริ่มรูปแบบ" (อ่านที่นี่) เพื่อขยายความเข้าใจว่า "อะไรคือ PBL" ที่ดี ที่สามารถทำให้นักเรียนมี "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑" อย่างแท้จริง จึงได้เขียนบันทึกเรื่อง "ต้น PBL" ไว้ก่อนแล้วที่นี่ บันทึกนี้ค้ดลอกมาบอกอีกครั้งหนึ่งครับ



หากเปรียบ PBL เหมือนต้นมะม่วง หน้าที่ของครูคือทำให้นักเรียน "ปลูกมะม่วงเป็น" แน่นอนว่า ครูต้อง "ปลูกเป็น" แต่ไม่จำเป็นจะต้องถึงขั้นชำนาญ เพราะในการปลูกมะม่วง หากเป็นคนใฝ่รู้ และน้อมนำหลัก ปศพพ.ด้านการศึกษา มาเป็นหลักคิด หลักปฏิบัติ ครูจะสนุกกับการเรียนรู้ไปพร้อมๆ นักเรียน และเป็นผู้ชำนาญการ การปลูกต้น PBL แน่นอน
เมื่อเป้าหมายของครูคือให้นักเรียน "ปลูกมะม่วงเป็น" ครูต้องไม่มองความสำเร็จของตนเพียงแค่ "มีต้นมะม่วง" หรือนักเรียน "ปลูกมะม่วงได้" ความสำเร็จของครูต้องดูจาก "ผลมะม่วง" ซึ่งเปรียบเป็น "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑" ที่เกิดกับนักเรียน นั่นคือ "นักเรียนปลูกมะม่วงเป็น" เพราะปลูกเป็นจึงเห็นผล ผลมะม่วงหรือทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในที่นี้ก็คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน  (Learning Outcome) นั่นเอง
ดังที่เขียนไว้ในบันทึกที่แล้ว ว่า
  • PBL คือ "กระบวนการ" (Process) ไม่ใช่ "ผล"(Product) ดังนั้น ผลลัพธ์ของ PBL คือ "ความรู้และทักษะ" ไม่ใช่ "ผลผลิตหรือชิ้นงาน"
  • "การปลูกต้น PBL" เป็นวิธีการทำให้นักเรียนมีทักษะพื้นฐานเพียงพอต่อการเรียนรู้และดำรงชีวิตที่ดีได้ใน "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑" เป้าหมายของครู คือ การทำให้นักเรียนเป็น "ผู้ใฝ่เรียน" "การทำให้นักเรียนมี "ฉันทะ" และปลูก"ต้นมะม่วง"เป็น คือ เรียนรู้ด้วยตนเองได้ หรือก็คือ "พึ่งตนเองด้านการศึกษา" ได้นั่นเอง
  • "PBL" คือ เครื่องมือ สำหรับการเรียนรู้สำหรับทั้ง "ครูและนักเรียน" และทุกๆ คนในสังคม
  • ครูที่เอาแต่ "ปลูกให้ดู" นักเรียนย่อม "ไม่รู้ลึกว่าจะปลูกอย่างไร"
  • ครูที่เน้น "พาปลูก" อย่างเดียว มักจะหลงเลี้ยวออกจากเส้นทางความสำเร็จในการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ให้กับนักเรียน เพราะมักหลงติดใน "ผลผลิต" ของตนเอง 
  • ครูต้องทำมาให้ถึงขั้น "ชวนให้ปลูก" และ "ชื่นชมผู้ปลูก" เหมือนที่เราชื่นชมลูกของเขาเวลาเขาประสบความสำเร็จ .... มุทิตาจิตคือจิตของครู
เราอาจแบ่งขั้นตอนการสอนบนฐานปัญหาเป็น ๓ ขั้นตอน ได้แก่
๑) สร้างแรงบันดาลใจ
๒) พาปลูก
๓) ให้ปลูกเอง
ขั้นสร้างแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายคือทำให้เขา "อยากปลูก" คือทำให้เกิด "ฉันทะ" ซึ่งในทางปฏิบัติอาจทำโดยการโน้มนาม ชี้ให้เห็นความสำคัญ ทำให้เข้าใจถึงประโยชน์ หลักการที่สำคัญคือ ต้องทำให้ได้ "ฝึกคิด" เรียนรู้ทฤษฎีและทักษะที่จำเป็น เช่น การสืบค้น การวิเคราะห์ การอ่านจับใจความ วิธีปลูก เครื่องมือปลูก เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นคุณค่าในเบื้องต้น
ขั้น "พาปลูก" คือเป็นการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏิบัติ (Active Learning) มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกทักษะย่อยๆ แต่ละอย่าง เช่น การเพาะเมล็ด การเตรียมดิน ฯลฯ แล้ว ฝึกนำทักษะย่อยๆ เหล่านั้นมาบูรณาการใช้เพื่อฝึกปลูกมะม่วง โดยครูอาจพาทำทีละขั้นตอน  ผลที่ได้คือ นักเรียนมีต้นมะม่วงของตนเอง ที่ปลูกด้วยตนเอง (แม้จะทำตามครู) หน้าที่ต่อไปคือดูแลให้ออกดอกออกผล หมายถึงฝึกฝนให้ชำนาญ นั่นเอง
ขั้น ให้ปลูกเองครูต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ คิดเอง ทำเอง แก้ปัญหาเอง คือปล่อยให้มีโอกาสได้ทำทุกอย่างด้วยตนเอง ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง บทบาทของครูคือ ชง ชวน เชียร์ ชม หรือช่วยในบางโอกาส
  • ชง คือ สร้างบรรยกาศให้เอื้อต่อการเรียนรู้แบบรู้จริง เช่น การกระตุ้นด้วยคำถาม หรือสร้างกิจกรรมหรือเวทีนำเสนอผลงาน ฯลฯ 
  • ชวน คือ แนะนำ หรือชวนให้ทำแบบอื่นๆ ที่นักเรียนอาจคิดคาดไม่ถึง เช่น อาจเล่าเรื่องความสำเร็จของผู้ประสบผลสำเร็จในชีวิตให้ฟัง ฯลฯ 
  • เชียร์ คือ เอาใจใส่ คอยซักถามความก้าวหน้า หาเวลามาอยู่กับนักเรียนอย่างต่อเนื่อง 
  • ชม คือ หัวใจสำคัญของความสุข ต้องชมอย่างจริงใจ หาจุดที่นักเรียนทำได้ดี ชื่นชมและกระตุ้นให้ขยายความสำเร็จนั้นๆ ออกไปอีก
  • ช่วย ในบางโอกาสครูอาจจำเป็นต้องช่วย เมื่อพิจาณาเห็นว่าเกิดกำลังความสามารถสติปัญญาของนักเรียน หรือแม้แต่ ปรามไม่ให้เกินเลยไปสำหรับอันใดที่จะทำให้พวกเขาเองและคนอื่นๆ เดือนร้อน
ภาพความสำเร็จจริงๆ ของการเรียนรู้แบบ PBL คือ ควมชอบ ความสนุกในการเรียน เมื่อใช้หลัก ปศพพ. ด้านการศึกษา จะทำให้ได้ "ปัญหาที่มีคุณค่า" ซึ่งจะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจที่ได้ทำความดี และสิ่งนี้จะทำให้นักเรียนเป็นผู้มี "ความสุข" กับการเรียนในที่สุด

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557

PLC มหาสารคาม ประจำปี ๒๕๕๗ (๖)_ PBL ของครูตุ๋ม

ผมเคยเขียนเรื่องกระบวนการสอน ๖ ขั้นตอน ของครูศิริลักษณ์ ชมพูคำ (ครูตุ๋ม) ไว้ที่นี่ ในเวที PLC มหาสารคาม ประจำปีนี้ (๒๕๕๗) ครูตุ๋มนำเอาประสบการณ์การทำงานแบบ PBL มาแลกเปลี่ยนแบ่งปัน กับเพื่อนครู  ครูตุ๋มบอกว่าทำแล้วประสบผลสำเร็จ เด็กๆ อ่านออก เขียนได้ และมีความสุข สนุกกับการเรียนอย่างยิ่ง  ....  แม้ฟังท่านแลกเปลี่ยนไม่นาน แต่การบอกผ่านรูปด้านล่างนี้ ท่านผู้อ่านอาจจะเข้าใจถึงวิธีปฏิบัติที่ดีของครูตุ๋มได้ไม่ยากครับ


PBL ของครูตุ๋ม ไม่ใช่การสอนแบบ PBL ที่จะได้เรียนแบบ PBL หรือ ครูตุ๋มสอนแบบ PBL  แต่เป็นการนำเอาหลักการเรียนรู้แบบ PBL มาปรับใช้กับการจัดการเรียนการสอนของตนเอง เป็นตัวอย่างที่ดียิ่งของครูเพิ่อศิษย์ ที่กำลังจะฝึกฝนตนเองให้เป็น "นักออกแบบการเรียนรู้" ที่ "เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ"

ครูตุ๋มมุ่งเป้าหมายที่ทักษะการอ่าน การเขียน ของเด็กเป็นสำคัญ วิธีการที่ท่านออกแบบและนำมาใช้นั้น เป็น "หลักปฏิบัติ" ที่ออกมาจากหลักคิด "มุ่งแก้ปัญหาที่เหตุ" เปรียบเหมือน หมอที่ตรวจอาการและวิเคราะห์โรคของคนไข้ จนทราบแน่ชัด แล้วค่อยจัดยา แนะบอก และรักษาด้วยวิธีการที่เหมาะสม หรืออาจเรียกได้ว่าการแก้ปัญหาแบบ "อริยสัจ ๔"

รายละเอียดโปรดติดตามผลงานของครูตุ๋มต่อไปครับ เราวางแผนกันว่าจะไปเยี่ยมเรียนรู้จากท่านถึงที่เร็วๆ นี้ 

นี่คือการ "วิจัยในชั้นเรียน" โดยแท้

ขอบูชาคุณครู ที่ทำเพื่อหนูๆ น้อย ที่ค่อนข้างด้อยโอกาสในโรงเรียน .....

ขอบพระคุณครับ

ป.ล. หากครูตุ๋มได้อ่านบันทึกนี้ จะดีมากครับ ถ้าจะอธิบายภาพเป็นความเรียง....:)

PLC มหาสารคาม ประจำปี ๒๕๕๗ (๕)_ PBL ของครูติ๋ม ผ่านรายวิชา IS

ในเวที PLC มหาสารคาม ประจำปี ๒๕๕๗ ผมสังเกตว่า สมาชิกครูเพื่อศิษย์ชุดแรกนี้สนิทสนมกันมาก เกือบทุกคนจะเรียกชื่อเล่นกันไปมา เว้นแต่คุณครูละมุน ครูพิสมัย และครูอนันต์ ที่เพิ่งมาใหม่ในเวทีนี้  ครูเพ็ญศรี ใจกล้า เพื่อนๆ จะเรียกว่า "พี่ติ่มๆ "  ผมจึงตั้งชื่อบันทึกนี้ว่า "PBL ของครูติ๋ม" ซึ่งก็หมายถึงคุณอาเพ็ญศรี ใจกล้านั่นเอง

PBL ที่ "ครูติ๋ม" และเพื่อนๆ นำมาใช้เป็นปีที่ ๓ ติดต่อกันนี้ พัฒนามาจนกลายมาเป็นรายวิชาค้นคว้าอิสระ หรือวิชา IS  ที่เปิดเป็นรายวิชาสอนแบบ "เน้นกระบวนการ" เพื่อฝึก "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑" อย่างเต็มที่  ผมจับประเด็นผสมกับสิ่งที่ "ผมเห็น" ผ่านมา นำมาสรุปไว้เป็น "สคริปการเรียน" (Learning Script) ดังรูปนี้


การจัดการเรียนการสอนเป็นแบบบูรณาการสหวิทยาการ ที่ "ริเริ่มรูปแบบ" อย่างมีส่วนร่วมจากการ PLC อาจารย์ระดับชั้นเดียวกัน  โดยออกแบบการจัดการเรียนรู้เป็น ๔ ช่วง ได้แก่

๑) ขั้นเตรียมการสอน  ที่ PLC ครูจะมาร่วมกันวิเคราะห์และกำหนดตัวชี้วัดที่ต้องการ อาจารย์ผู้สอนแต่ละรายวิชาจะมาร่วมกันวิเคราะห์เป้าหมาย KPA ของตนเองที่สามารถบูรณาการกับการเรียนบนฐานปัญหานั้นได้ และร่วมกันกำหนดหัวเรื่องใหญ่ เพื่อจะวางแนวทางสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความสงสัย ท้าทายเด็กๆ ต่อไป ในเทอมนั้นๆ

๒) ขั้นจัดกระบวนการเรียนรู้  โดยยึดหลักว่า "เด็กๆ เป็นผู้สร้างองค์ความรู้เอง" นั่นคือ ทีม PLC ครูจะเน้นเป็นเพียง "กระบวนกร" อำนวยการ ให้นักเรียนได้ร่วมกันเป็นทีมเพื่อ สำรวจปัญหา วิเคราะห์ปัญหา ลงพื้นที่สัมผัสปัญหา อภิปรายแนวทางแก้ไขปัญหา และกำหนดปัญหา เขียนหลักการและเหตุผล เพื่อจะจัดทำเป็นเค้าร่างโครงงานของกลุ่ม ซึ่งต้องวางแผนและ (BAR) นำเสนอต่อไป โดยอาจารย์เป็นกรรมการสอบเค้าโครงงาน 

๓) ขั้นลงมือแก้ปัญหา หรือ ขั้นลงมือทำ  เน้นว่า เด็กๆ เป็นผู้ลงมือดำเนินการทำตามแผนที่กลุ่มวางไว้ อาจารย์จะเข้ามาทำหน้าที่ผู้ประเมินผลและพี่เลี้ยงคอยกระตุ้น ซักถาม เพื่อให้เกิดความชัดเจน และปลอดภัยในการเรียนรู้ภาคสนามของเด็กๆ เปิดโอกาสให้เขาได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้มานำเสนอผ่าน "การรายงานความก้าวหน้า" ซึ่งต้องมีการให้ทำ DAR มาก่อน

๔) ขั้นนำเสนอและสรุป "ถอดบทเรียน" (AAR) โดยทางโรงเรียนจะจัดงาน "วันเปิดโลกกิจกรรม" ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มได้นำเสนอผลงาน/ชิ้นงาน อาจารย์ทำหน้าที่ประเมินผล ซักถาม และตรวจจับ "KPA" ที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้นเทอม  ซึ่งอาจตรวจจากรายงาน หรือการตอบคำถาม เป็นต้น

อยากรู้รายละเอียดจากผู้ปฏิบัติ และอยากรู้ผลลัพธ์จากนักเรียน โปรดค้นด้วยคำสำคัญว่า "เพ็ญศรี ใจกล้า" หรือ "ฮักนะเชียงยืน" นะครับ




วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

PLC มหาสารคาม ประจำปี ๒๕๕๗ (๔)_ ฮักนะเชียงยืน ปี ๒๕๕๗

ผม AAR กับตนเองว่า ๓ ปีที่ผ่านมา ที่ได้ผันชีวิตมาพยายามเป็น "นักการศึกษา" อะไรบ้างที่สำเร็จหรือที่ทำได้ หรือ "ใช่สิ่งที่ใจตนเองว่าถนัดและมีความสุข"  ในมิติของการเปลี่ยแปลงในตนเอง ผมไม่มีข้อสงสัย นอกจากจะภูมิใจและเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาการศึกษาแล้ว ใจผมยังเกิด "อิทธิบาท" ครบทั้ง "๔" ประการในการทำงานที่ผ่านมา

แต่พอหันมามองหาความสำเร็จที่แท้จริงสำหรับสังคม คือ Learning Outcome ที่เกิดกับผู้เรียน คงต้องใช้ความเพียรอีกมากเพื่อให้เกิดผลกระทบในพื้นที่ วิธีการคือ ต้องขยายแนวปฏิบัติที่ดีของครูเพ็ญศรี ใจกล้า ครูเพ็ญศรี กานุมาร และครูศิริลักษณ์ ชมพูคำ ให้ครูเพื่อศิษย์ของเรา นำเอาประสบการณ์ของครูบีพีไปทำ ไปใช้ แล้วนำผลที่ได้มาแลกเปลี่ยนกันในเวทีประจำปีต่อๆ ไป

ประสบการณ์แรกที่นำมาแบ่งปันในเวที PLC มหาสารคาม ปี ๒๕๕๗ คือ การจัดการเรียนรู้บนฐานปัญหาชุมชน ของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "ฮักนะเชียงยืน" ผลงานของพวกเขาได้รับการเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง ๓ และ ทีวีไทย (TPBS) ท่านสามารถคลิกดูฉบับเต็มตามลิงค์ ผม "ดูด" วีดีโอมา แล้วตัดต่อให้สั้นลง (เป็นประสงค์เจตนาเพื่อการศึกษา ขอท่านเจ้าของไว้ตรงนี้ด้วยครับ) 




ครูเพ็ญศรี เปิดวีดีโอคลิปฉบับบเต็ม แล้วตั้งคำถามกับเพื่อนครูว่า "เห็นอะไร" ได้คำตอบดังนี้ครับ


  • เห็นความมุ่งมั่น
  • เห็นปัญหา
  • เห็นความคิดของเด็กๆ ที่ไม่เพียงแค่คิดทำ ่แต่คิดที่จะสื่อสารผ่านละคร
  • เห็นว่าละครทำให้สามารถสื่อสารผ่านไปยังชาวบ้านได้
  • เห็นกระบวนการเรียนรู้ของเด็กๆ
  • เห็น Learning Outcome คือ ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในเด็ก
  • เห็นการมีส่วนร่วม ทุกคน ทุกส่วน (LLEN)
  • เห็นช่องทางการเผยแพร่
  • เห็นผลกระทบต่อชุมชน
  • เห็นความสำคัญว่าเราทำได้
  • เห็นความรู้ที่เราไม่ต้องสอน เขา(เด็ก)เรียนรู้เอง การเรียนรู้บนฐานชีวิต
  • เด็กมีทักษะการเรียนรู้เชิงประบวนการ ทำ BAR, DAR, AAR ได้ กิจกรรม "เพื่อนบอกเพื่อน" "พี่บอกน้อง" นักเรียนทำกันเอง
  • ฯลฯ 
ผมประเมินว่า เราประสบผลสำเร็จในการทำให้ครูเพื่อศิษย์มั่นใจว่าเรามาถูกทาง ผลงานของครูเพ็ญศรีและครูสุกัญญาจากเชียงยืน ได้ประจักษ์ชัดผ่านนักเรียน "ฮักนะเชียงยืน" แล้วว่า การพัฒนานักเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ผ่านโครงงาน/ปัญหาที่ทำมาอย่างต่อเนื่องนั้น ว่า นักเรียนมีพัฒนาการด้านทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ อย่างเห็นได้ชัด และเห็น "ความสุข ความสนุก" ในการเรียนของพวกเขา




ในฐานะ "นักเรียนรู้" ที่ได้รู้-เห็น พัฒนาการและผลงานของกลุ่มฮักนะเชียงยืน ผมคิดว่า
ปัจจัยของความสำเร็จอยู่ที่
  • ครูเพ็ญศรี ใจกล้า ที่ "กล้าเปลี่ยนแปลง" กล้าเปลี่ยนแนวคิดและแนวทางในการจัดการเรียนการสอน อ่านได้ ที่นี่ครับ 
  • ครูสุกัญญา มะลิวัลย์ ที่เชี่ยวชาญ "จิตวิทยา" และนำ "จิตตปัญญาศึกษา" มาใช้กับนักเรียนอย่างจริงๆ จัง 
  • นักเรียนแกนนำ "แสน" อ่านผลงานเขาที่นี่ครับ 
  • โครงการพัฒนาพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ "LLEN" "ปลูกใจ รักษ์โลก"  "PLC มหาสารคาม" ฯลฯ
เงื่อนไขของความสำเร็จ น่าจะมี ๓ ประการ ได้แก่
  • ความต่อเนื่อง ที่เกิดจากครูเพ็ญศรีและครูสุกัญญา  และการสนับสนุนจากรอง ผอ.สมบัติ และ รอง ผอ.ธีระพงษ์ 
  • ความสามารถของ "แสน" และเพื่อนที่สามารถเป็น "กระบวนกร" นำการเรียนรู้มาสู่น้องๆ รุ่นต่อมา
  • ผมว่า Social Network ในที่นี้คือ Facebook และบล็อคชุมชนเรียนรู้ออนไลน์ คือ gotoknow.org เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ไหลลื่นสำหรับนักเรียนรู้ ...