ในรายงานฉบับสมบูรณ์ของโครงการ PLC ที่ผมทำกับ สพป.มค. เขต ๓ ผมได้เรียบเรียงความรู้เกี่ยวกับ PLC ไว้ส่วนหนึ่ง น่าจะมีประโยชน์กับครูบ้านเขวาทุ่งและมะชมโนนสง่า จึงคัดลอกมาลงไว้ที่นี่ครับ
ตามหนังสือ “Learing by Doing: A Handbook for
Professional Learning Communities at Work. (Four, Four, Eaker, & Many, 2010) บอกว่า
ศาสตราจารย์ริชาร์ด ดู โฟร์ คือ “บิดาของ PLC” (PLC:
Professional Learning Community) โดยเริ่มทำวิจัยและพัฒนาส่งเสริม PLC มาตั้งแต่ ปี ๒๕๕๑ ก่อนที่ ศาสตราจารย์นพ.วิจารณ์
พานิช “บิดาของ KM” ในประเทศไทย (ผู้วิจัย) (KM:
Knowledge Management) เริ่มวิจัยและพัฒนาส่งเสริมการสร้าง CoP
(Community of Practice) ๕ ปี ในการตีความหนังสือเล่มนี้ (วิจารณ์,
วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑, ๒๕๕๕) ท่านบอกว่า PLC
ก็คือรูปแบบหนึ่งของ CoP นั่นเอง
นักการศึกษาไทยมักเริ่มตั้งคำถามถึงนิยามว่า “PLC
คืออะไร” ก่อนคำถามตีความว่า “ทำไมต้องมี PLC”
เหมือนๆ กับที่ตั้งคำถามว่า “KM คืออะไร”
ซึ่งจะได้คำตอบหลากหลายกว้างลึกแตกต่างกันไปไม่ตายตัวขึ้นอยู่กับมุมมอง
อย่างไรก็ตาม หลักการหนึ่งของการบริหารการเปลี่ยนแปลงคือ การมีถ้อยคำหนึ่งที่เข้าใจความหมายร่วมกันชัดเจน
ดังนั้น ในเบื้องต้นการทำให้บุคลากรทางการศึกษารู้และเข้าใจคำว่า “PLC” ตรงกัน ก็ยังถือเป็นด่านแรกที่ต้องผ่านไปให้ได้
วิธีสื่อสารให้เข้าใจเรื่องนี้ที่ดีที่สุดน่าจะเริ่มจากการทำความเข้าใจเหตุที่ต้องมี
PLC ประโยชน์ที่จะเกิดจาก PLC และลักษณะของ PLC
ก่อนจะกำหนดนิยามเพื่อตอบคำถามว่า “PLC คืออะไร”ต่อไป
จากประสบการณ์กว่า ๑๐ ปีในการทำงานกับเขตพื้นที่การศึกษา
(ในสหรัฐอเมริกา) พบว่า เขตฯ ที่ทำ PLC อย่างถูกต้อง
ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนแตกต่างมากจากเขตฯ ที่ยังใช้การดำเนินการแบบ
top- down บางโรงเรียนมีผลการเรียนดีมากและครูเกิดความกระตือรือร้น
ทำงานร่วมกันอย่างเป็นทีม นักเรียนที่ล้าหลังได้รับช่วยเหลือจากทีมครู
โดยที่ครูไม่ต้องทำงานนอกเวลางานปกติ
ในขณะที่โรงเรียนที่ทำไม่ถูกต้องแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเลย และมีผลงานวิจัยมากมายชี้ว่า
การดำเนินการและการพัฒนากระบวนการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนที่ทำเป็นทีม
โดยใช้แบบประเมินเดียวกันที่ร่วมกันพัฒนาขึ้น ดีกว่าวิธีการที่ครูต่างคนต่างทำ
และต้องไม่ปล่อยให้ครูคนใดคนหนึ่งแยกตัวโดดเดี่ยวออกไปทำคนเดียว
เพราะจะเป็นโทษต่อนักเรียนทำให้ผลการเรียนจะไม่ดี ความสำเร็จต่างๆ ทำให้ PLC
แพร่ขยายไปทั่วสหรัฐอเมริการวมทั้งประเทศอื่นๆ
ที่ต้องการพัฒนาและปฏิรูปการศึกษา เช่น สิงค์โปร์ เป็นต้น การนำ PLC มาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทและวัฒนธรรมของคนไทยในการปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่
๒๑ น่าจะเป็นปัจจัยทำให้เกียรติภูมิและความสุขของครูไทยกลับมาอีกครั้ง
หนังสือเล่มนี้บอกว่า เป้าหมายของ PLC คือการเปลี่ยนแปลงใน ๕ หมวด ดังต่อไปนี้
๑) การเปลี่ยนแปลงปณิธานความมุ่งมั่นพื้นฐาน
จากเน้นการสอน
|
เป็นเน้นการเรียนรู้
|
จากเน้นสิ่งที่สอน
|
เป็นเน้นสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้
|
จากการได้สอนครอบคลุมเนื้อหา
|
เป็นการแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีความรู้และทักษะเหล่านั้น
|
จากการมอบคู่มือหลักสูตรแก่ครูแต่ละคน
|
เป็นจัดให้ทีม PLC
ได้สร้างความรู้ร่วมกันเกี่ยวกับหลักสูตรที่จำเป็น
|
๒) การเปลี่ยนแปลงการสอบ
จากการสอบเพื่อได้- ตกนานๆ ครั้ง
|
เป็นการสอบเพื่อให้นักเรียนปรับปรุงตนเอง
และครูปรับปรุงวิธีจัดการเรียนรู้
|
จากการสอบเพื่อดูว่ามีนักเรียนคนไหนบ้างที่สอบตกตามเวลาที่กำหนด
|
เป็นการสอบเพื่อค้นหานักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม
ให้กลับมาเรียนกับเพื่อนได้ทำ
|
จากการสอบเพื่อให้รางวัลหรือลงโทษนักเรียน
|
เป็นการสอบเพื่อสื่อสารและสร้างแรงจูงใจต่อการเรียนของนักเรียน
|
จากการสอบความรู้และทักษะหลายๆ อย่างนานๆ ครั้ง
|
เป็นการสอบความรู้และทักษะครั้งละน้อยๆ แต่สอบบ่อยๆ
|
จากการออกข้อสอบและจัดการสอบโดยครูแต่ละคน
|
เป็นการออกข้อสอบและจ้ดการข้อสอบโดยทีม PLC
|
จากสภาพที่ครูแต่ละคนเป็นคนกำหนดเกณฑ์ประเมิน
|
เป็น PLC
ร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อสร้างความสม่ำเสมอของการประเมินโดยครูในทีม
|
จากการเน้นการประเมินแบบใดแบบหนึ่ง
|
เป็นการประเมินโดยใช้การประเมินหลายแบบอย่างสมดุล
|
จากเน้นที่คะแนนเฉลี่ย
|
เป็นการเน้นตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียนแต่ละคนในความรู้และทักษะแต่ละด้าน
|
๓) การเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาหรือการดำเนินการเมื่อนักเรียนเรียนล้าหลัง
จากการตัดสินใจโดยครูคนเดียว
|
เป็นการดำเนินการอย่างเป็นระบบร่วมกันในทีม PLC
เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้รับการดูแลช่วยเหลือ
|
จากการกำหนดเวลาและการเรียนรู้ตายตัวสำหรับนักเรียน
|
เป็นการจัดเวลาและบทเรียนอย่างยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้
|
จากการสอนซ่อม
|
เป็นการเรียนเพื่อให้เข้าใจ
|
จากการช่วยเหลือตามความสมัครใจนอกเวลาเรียน
|
เป็นการเรียนบังคับในเวลาเรียน
|
จากมีเพียงโอกาสเดียวที่จะได้เรียนรู้
|
เป็นมีหลายโอกาสที่จะแสดงว่าได้เรียนรู้
|
๔) เปลี่ยนแปลงการทำงานของครู
จากโดดเดี่ยว
|
เป็นการทำงานเป็นทีม
พุ่งเป้าร่วมกันที่การเรียนรู้ของศิษย์และครู
|
จากครูแต่ละคนคิดคนเดียวว่านักเรียนควรได้เรียนรู้อย่างไรบ้าง
|
เป็นทีม PLC ร่วมกันคิดว่า
“ความรู้ที่จำเป็น” สำหรับนักเรียนมีอะไรบ้าง
|
จากครูแต่ละคนกำหนดลำดับความสำคัญของมาตรฐานการเรียนรู้
|
เป็นทีม PLC
ร่วมกันกำหนดลำดับความสำคัญของมาตรฐานการเรียนรู้
|
จากครูแต่ละคนกำหนดความเร็วในการเรียน
|
เป็นทีม PLC
ร่วมกันกำหนดและใช้อัตราความเร็วของการเรียนรู้
|
จากครูแต่ละคนพยายามค้นหาวิธีการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการเรียน
|
เป็นทีม PLC ช่วยเหลือกัน
|
จากครูดำเนินกิจกรรมการสอนแบบเป็นกิจกรรมส่วนตัว
ไม่เปิดเผย
|
เป็นครูแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการสอนและวิธีทำหน้าที่ครูอย่างเปิดเผยต่อกัน
|
จากการตัดสินใจตามความพึงพอใจส่วนตัว
|
เป็นการรวมตัวตัดสินใจตามความรู้จากประสบการณ์และ best
practice ที่นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
|
จากการร่วมมือกันแบบเปะปะ
ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ในการเรียน
|
เป็นการเน้นความร่วมมือในประเด็นที่มีลำดับความสำคัญสูงต่อผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ของศิษย์
|
จากการคิดว่า “นี่ศิษย์ฉัน” นั่น “ศิษย์คุณ”
|
เป็น “ศิษย์ของเรา”
|
๕) เปลี่ยนวัฒนธรรมของโรงเรียน
จากต่างคนต่างเป็นอิสระต่อกัน
|
เป็นการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน
|
จากไวยากรณ์แห่งการบ่นว่า
|
เป็นไวยากรณ์แห่งความตั้งใจมุ่งมั่น
|
จากการวางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว
|
เป็นการวางแผนให้เกิดผลสำเร็จระยะสั้นจำนวนมาก
|
จากการชื่นชมยกย่องเป็น “ครูดีเด่น” ปีละครั้ง
|
เป็นการยกย่องผลสำเร็จเล็กๆ ที่จำเพาะ
และมีผู้ได้รับการยกย่องจำนวนมากและบ่อยๆ
|
PLC จะเปลี่ยนแปลงโรงเรียนและวงการศึกษาโดยสิ้นเชิง
เปลี่ยนแปลงจากภายในระดับรากฐาน จิตสำนึก ถึงระดับโครงสร้าง ถึงรากถึงโคน (transformation) ครูแต่ละคนจะทำหน้าที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ด้วยตนเอง เป็นผู้กระทำไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ เป็น “ประธาน” ไม่ใช่เป็น “กรรม”
ครูจะรวมตัวกันเป็นชุมชน (Community)
ที่ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของอย่างเท่าเทียมกัน
และสิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกันคือ
ความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพของการเรียนรู้ของนักเรียนเพื่อให้มีทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่
๒๑ ผู้คนจะไม่หวงความรู้
จะเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันอย่างเข้มข้นและเป็นทางการ
โรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษาจะกลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
PLC คือ
กระบวนการต่อเนื่องที่ครูและนักการศึกษาทำงานร่วมกัน ในวงจรของการร่วมกันตั้งคำถาม
และการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อบรรลุผลการเรียนรู้ที่ดีขึ้นของนักเรียน
โดยมีความเชื่อว่า หัวใจของการพัฒนาการเรียนรู้ให้ดีขึ้น
อยู่ที่การเรียนรู้ที่ฝังอยู่ในการทำงานของครูและนักการศึกษา...
ศาสตราจารย์นพ.วิจารณ์ สรุปว่า PLC เป็นเครื่องมือของการเปลี่ยนชีวิตครู เปลี่ยนจาก “ผู้สอน” เป็น “นักเรียน” เปลี่ยนจาก “โดดเดี่ยว” เป็น “มีเพื่อน มีกลุ่ม” รวมตัวเป็นชุมชน ทำงานแบบปรึกษาหารือและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมีเป้าหมายที่เด็ดเดี่ยวชัดเจน คือ ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑ ของศิษย์ทุกคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น