วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

ขับเคลื่อน PLC สพป. ๒ มหาสารคาม _ (๔) : ณ โรงเรียนบ้านเขวาทุ่ง อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม (๔) : ข้อเสนอต่อโรงเรียน และ AAR

ผมไม่ยอมปล่อยโอกาสสำคัญ ที่จะได้ช่วย สะท้อน (Reflection) แบบจริงใจ ตรงไปตรงมา ให้กับโรงเรียนบ้านเขวาทุ่ง ต่อไปนี้เป็นข้อวิพากษ์และข้อเสนอแนะ ที่ได้มอบไว้ให้โรงเรียน

ข้อชื่นชมและวิพากษ์ 
  • นักเรียนที่นี่สุภาพ เรียบร้อย มารยาทดี มีจิตอาสา กล้าพูด กล้าคุย ยิ้มแย้ม แจ่มใส ... ขอให้รักษาลักษณะที่ดีนี้ต่อไปครับ 
  • ดูเหมือนกิจกรรมน่าเสาธง จะยังคงอยู่ในขั้น "พิธีการ" แนะนำให้ทำ "PLC วงใน" เพื่อหาวิธีการให้ถึงขั้น "พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์" เข้าถึง "คุณค่า ความหมาย" ของแต่ละกิจกรรมที่ทำ .... 
  • การทำโครงงานของนักเรียน ควรพัฒนากระบวนการให้ได้เรียนรู้แบบรู้จริงมากขึ้น คือ เน้นโครงงานบนฐานปัญหาจริงที่มีคุณค่า (PBL)  ครูต้องเป็นโค๊ช ตั้งคำถามเพื่อแนะให้เข้าถึง "คุณค่า และความหมาย" สนใจในรายละเอียด เช่น  "ทำไมพระพุทธรูปที่พวกเขามาทำความสะอาด ต้องหันหน้าเข้าหาโรงเรียน" (คำถามที่ไม่ได้รับคำตอบจากเด็กๆ ...ผมเข้าใจว่า เราจัดให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แต่เผอิญโรงเรียนหันหน้าไปทางทิศตะวันตก...ผิดถูกอย่างไร ต้องให้ครูผู้ใหญ่เฉลย....)
  • ฯลฯ



ข้อเสนอแนะ

ผมนำบัญญัติ ๗ ประการ ที่ ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช เสนอไว้ในหนังสือ "วิธีสร้างการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑" มาเสนอให้นำไปพิจารณา โดยเพิ่มอีกหนึ่งข้อเพื่อเน้น  เพื่อให้เห็นผลและเรียนรู้จากการเรียนรู้ของตนเองชัดขึ้น ดังนี้

๑) ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการ ให้เอื้อต่อการทำงานแบบ PLC โดยเอื้อให้สามารถทำทั้งหมดภายในเวลางานปกติ และ ทำ "วิสัยทัศน์ร่วม" 
๒) ระดมสรรพกำลังที่มี สนับสนุน ช่วยเหลือให้ PLC ดำเนินการได้อย่างสะดวก
๓) ครูเปลี่ยนบทบาท ๓ ประการ คือ ใช้จิตวิยาเชิงบวก เน้นกระบวนการมากกว่าเนื้อหา และทำงานเป็นทีม (สอนเป็นทีม นักเรียนเรียนเป็นทีม)
๔) ใช้ PLC กำหนดเป้าหมายรายทาง และหาวิธีประเมินผลสำเร็จนั้นๆ ตั้งคำถามให้ถูกต้อง  ๔ ประการ คือ 
  • ต้องการให้เกิดความรู้หรือทักษะอะไร 
  • จะรู้ได้อย่างไรว่าความรู้หรือทักษะนั้นเกิดแล้ว
  • เกิดกับนักเรียนเรียนดี จะทำอย่างไร
  • หากไม่เกิดกับนักเรียนเรียนอ่อน จะทำอย่างไร
๕) เฉลิมฉลองความสำเร็จเล็กๆ  เพื่อสร้างแรงบันดาลใจต่อเนื่อง
๖) จัดให้มีการ สะท้อนบทเรียน (Reflection) ถอดบทเรียน และการสะท้อนผลกลับ (feedback) อย่างเหมาะสม

๗) ทำตนเป็นตัวอย่างที่มีคุณค่า

๘) เผชิญหน้ากับครูผู้ต่อต้าน รักษาความเป็นธรรมสำหรับผู้ทำกรรมดี


ผมเล่าเรื่อง ทฤษฎีการสั่งสม ให้ครูฟัง ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ และเชื่อมมั่นด้วยว่า หากนำไปทำจริง จะเกิดผลจริงกับนักเรียนแน่นอนครับ

ผม AAR ว่า ผมบรรลุทุกความคาดหวัง และสิ่งที่เกิดคาดคือ เกิด "พลัง" ที่จะเข้าไปช่วยท่านอาจารย์พิสิฐ นาครำไพ ซึ่งผมยังเคารพท่านด้วยใจตลอดมา ในการพัฒนาโรงเรียนนี้ต่อไป ....

ขับเคลื่อน PLC สพป. ๒ มหาสารคาม _ (๓) : ณ โรงเรียนบ้านเขวาทุ่ง อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม (๓) : วิธีสร้างการเรียนรู้ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ (หลักสูตร ๓PBL)




หลังจากละลายพฤติกรรมแล้ว ผมชวนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อนำเข้าสู่ "วิสัยทัศน์ร่วม" หรือ "เป้าหมายร่วม" ของครูทุกคน เพื่อให้รู้ว่า เรากำลังมุ่งสู่การเป็น "ครูเพื่อศิษย์" และกำลังสร้าง "ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์" ผมสรุปว่า ครูเพื่อศิษย์นั้นมุ่ง "สอนชีวิต" สอนลูกศิษย์แบบ "สอนคน" ไม่ใช่ "สอนวิชา" เป้าหมายสำคัญในการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเน้นมากกว่าสาระ "ความรู้" แต่ครูต้องเป็น "ครูฝึกกก" ให้เด็กได้ "ทักษะ" ที่เพียงพอต่อการอยู่ในสังคมใหม่ได้อย่างดีและมีความสุข 

วิธีการทำให้นักเรียนมี "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑" ตามเป้าหมายข้างต้น บุคลากรทุกคน ต้องช่วยกันให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด" "ฝึกทำ" และ "ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเอง" ... เราเรียกหลักสูตรการจัดการเรียนรู้แบบนี้ว่า "หลักสูตร ๓PBL" 

หลักสูตร ๓PBL

หลักสูตรพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ แบบ ๓PBL ดังรูปที่ ๑ แบ่งขั้นของการพัฒนานักเรียนด้วยการออกแบบการเรียนรู้เป็น ๓ แบบ เพื่อเน้นจุดมุ่งหมาย ๓ ประการตั้งแต่ "คิดเป็น" "ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น" จนผู้เรียนสามารถ "เรียนรู้เองเป็น"  โดยต้องพิจารณาให้ถึงระดับ "นักเรียนรายบุคคล" โดยที่ครูจะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเอง

หลักสูตร ๓PBL เป็นเครื่องมือช่วยครูในการพัฒนาการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๓PBL นำเสนอรูปแบบในการเรียนรู้ ๓ วิธี ได้แก่ 

st PBL คือ Pattern- based Learning ได้แก่ การเรียนรู้ในรูปแบบ โดยอาจใช้แบบฟอร์ม ใบงาน หรือคำถามจากครู มีเป้าประสงค์เพื่อทำให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารญาณ การประเมินค่า และเสริมสร้างความมั่นใจในตนเองของผู้เรียนให้กล้าคิดกล้าพูด

nd PBL คือ Project- based Learning ได้แก่ การเรียนรู้จากการทำโครงการ หรือกิจกรรมต่างๆ มีเป้าประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการทำงานตามวงจรคุณภาพ (PDCA) การแก้ปัญหา และทักษะการใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ

rd PBL คือ Problem- based Learning ได้แก่ การเรียนรู้บนฐานปัญหาหรือโครงงาน มีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนเกิดทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ โดยมุ่งเน้นการสร้างแรงบันดาลในการเรียนรู้ การเรียนรู้จากการปฏิบัติ และการเรียนรู้เป็นทีม ที่ผู้เรียนได้ คิดเอง ทำเอง แก้ปัญหาเอง และนำเสนอผลงานด้วยตนเอง




รูปที่   แสดงกระบวนทัศน์ของหลักสูตรพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ แบบ ๓PBL
สามารถอธิบายพอสังเขป ดังนี้

ขั้นที่ ๑ ฝึกคิด
พัฒนาการคิดเบื้องต้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กล้าคิดกล้าพูด ขั้นนี้เน้นที่สุดคือ เจตคติและแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ วิธีการคือ ยกตัวอย่าง หรือสื่อที่น่าจะทำให้เกิดข้อถกเถียงหรือแสดงความคิดเห็นได้ง่าย หลากหลาย ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ไม่มีผิดไม่มีถูก นำเสนอต่อนักเรียน แล้วครูใช้คำถามกระตุ้นเพื่อให้เกิดการโต้เถียงอย่างเป็นเหตุเป็นผลกัน กรณีนี้ครูอาจใช้แบบฟอร์มหรือใบงานช่วย


รูปที่ แสดงตัวอย่างวิธีการหรือขั้นตอนในการฝึกคิด

-         หลักการสำคัญคือหลักของ "เหตุและผล" เมื่อเราอยากให้นักเรียนเก่งเรื่องคิด “คิดเป็น” เราต้องทำให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด"  วิธีการทำให้นักเรียนได้ฝึกคิด ครูต้องเปลี่ยนมา "ตั้งคำถาม" แทนวิธีการ "บอก ป้อน สั่ง"
-         เครื่องมือสำคัญที่ต้องทำให้มาก คือ การอภิปราย โต้เถียงด้วยเหตุและผล  หรือที่นิยมเรียกว่า "ถอดบทเรียน" หรือ "ถอดประสบการณ์" 
-         บทบาทที่สำคัญของครู ไม่เพียงแต่ "ตั้งคำถาม" แต่ต้อง "สะท้อน" (Reflect) ผลลัพธ์ กลับไปยังผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง
-         ครูเป็นผู้คิดสร้างใบงาน หรือ ใบคำถาม หรือแบบฟอร์ม หรือ รูปแบบ (Pattern) ต่างๆ ให้นักเรียนได้ฝึกคิด เช่น กิจกรรม "กระดาษ ๔ พับ" ใช้สื่อที่นักเรียนสนใจ แล้วค่อยให้ถอดบทเรียน 
-         ผลที่เกิดกับนักเรียนเมื่อเขาคิดเป็น ครูจะเห็นความกล้าคิด กล้าพูด เพราะว่าเขามั่นใจในตนเอง ที่เขามั่นใจในตนเองเพราะพวกเขาภูมิใจในตนเอง ที่ภูมิใจในตนเองเพราะพวกเขารู้ว่าตนเองรู้และถนัดเก่งเรื่องอะไร และที่เป็นเช่นนั้นได้ ก็เพราะว่าพวกคิดได้คิดเป็นนั่นเอง
-         บทบาทที่สำคัญของครูในขั้นตอนนี้ คือเป็น ผู้กระตุ้นพาให้คิด "ครูฝึกคิด" คือทำหน้าที่เป็นครูฝึกหรือโค้ช (Coach)  เป็นคนออกแบบ และตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นการคิดของนักเรียน
-         นักเรียนจะได้ฝึกคิดตาม "หลักคิด ปศพพ." สามารถตีความสื่อต่างๆ ตามหลัก ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติได้

ตัวอย่างวิธีการและขั้นตอนให้นักเรียนได้ “ฝึกคิด” 

o   คิดวิเคราะห์ก่อนให้รู้ชัดว่า สิ่งนั้นคืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง กำลังจะทำอะไร
o   เปรียบเทียบ เทียบเคียง ให้เข้าใจบทบาทและความสำเคัญ ตลอดทั้งความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของสิ่งนั้นๆ 
o   จัดหมวดหมู่ สังเคราะห์หลักการ ใช้หลักวิชาการที่สอดคล้อง เพื่อพิจารณาอย่างเป็นเหตุเป็นผล
o   ยึดเหตุผลบนพื้นฐานของความเป็นจริง และความเป็นธรรม 
o   พิจารณาว่าสิ่งที่จะทำนั้นถูกหรือไม่ถูก ดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร เหมาะสมหรือไม่ 
o   ก่อนจะตัดสินใจให้ พอประมาณกับตนเอง 

ขั้นที่ ๒ ฝึกทำ 

พัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทำงานจากการปฏิบัติจริง ขั้นนี้เน้นที่สุดคือ กระบวนการเรียนรู้จากการลงมือทำกิจกรรมต่างๆ ที่ครูหรือโรงเรียนกำหนด วิธีการคือ ครูทำหน้าที่เป็นครูฝึก โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ใช้กระบวนการจัดการความรู้ เช่น BAR, AAR ฯลฯ และฝึกทักษะการทำงานตามวงจรคุณภาพ PDCA และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการศึกษา จัดให้มีการถอดบทเรียน หรือถอดประสบการณ์ จากการทำกิจกรรมทุกกิจกรรมในโรงเรียน เช่น กิจกรรมชุมนุม กิจกรรมลูกเสือ- เนตรนารี ฯลฯ กรณีนี้ครูสามารถใช้แบบฟอร์มหรือชุมคำถามช่วยในการถอดบทเรียนได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือ ครูจะต้องมีการสรุปและให้ feedback กับนักเรียนในทุกกิจกรรม



รูปที่ แสดงตัวอย่างวิธีการหรือขั้นตอนในการฝึกทำ

  • หลักสำคัญคือ การเรียนรู้จากการปฏิบัติ นักเรียนได้ลงมือทำจริง โดยเน้นให้นักเรียนได้ "ฝึกคิดแก้ปัญหา"  ที่ครูเป็นคนกำหนด หรือร่วมกันกำหนดขึ้นมา 
  • ครูจะเป็นผู้ออกแบบโครงการ (Project) หรือเปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการออกแบบโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียน เช่น กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี กิจกรรมวันสำคัญทางศาสนา กิจกรรมส่งเสริมการเรียนต่างๆ คำถามสำคัญสำหรับครูผู้ออกแบบคือ
o   ต้องการให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะใด จากโครงการ/กิจกรรม/ฐานการเรียนรู้ นั้น 
o   นักเรียนจะได้เรียนรู้อย่างไรในโครงการ/กิจกรรม/ฐานการเรียนรู้นั้น นักเรียนจะเกิดทักษะนั้นในขั้นตอนใด
o   จะรู้ได้อย่างไรว่า ทักษะที่ต้องการนั้นเกิดหรือไม่ ทำอย่างไร นักเรียนจะได้สะท้อนตรวจสอบประเมินตนเองเกี่ยวกับทักษะนั้นๆ
o   นักเรียนจะได้ฝึกบูรณาการความรู้และทักษะกับชีวิตและการเรียนการสอนในห้องเรียนอย่างไร
วิธีการสำคัญคือ การฝึกการทำงานแบบ PDCA (Plan Do Check Act) ตามวงจรคุณภาพของ Deming
  • ผลที่จะเกิดกับนักเรียนเมื่อได้ "ฝึกทำ ฝึกแก้ปัญหา" คือทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการลงมือทำและการแก้ปัญหา ทักษะชีวิตด้านการทำงานอย่างมีระบบแบบแผน (PDCA)  ทักษะความร่วมมือหรือทำงานเป็นทีม ทักษะการสื่อสารและไอซีที 
  • เครื่องมือสำคัญในขั้นนี้คือ การ "ถอดบทเรียน"หรือ (AAR :  After Action Review) การทำ BAR (Before Action Review) การจัดการความรู้ KM การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่องประสบการณ์ของความสำเร็จ (Success Story Telling) หรือ SST ฯลฯ
  • บทบาทสำคัญของครูจะต้องเน้นทั้งเป็น ครูฝึก (Coach) เป็นทั้งพี่เลี้ยง (Mentor) และเป็นทั้งหมอใจให้คำปรึกษา (Counseling)  แตกต่างกันไปตามแต่เหตุปัจจัย สถานการณ์ และประสบการของผู้เรียนแต่ละคน อ่านหลักการ CMC ได้ที่นี่ 
  • นักเรียนจะได้ฝึกนำ ปศพพ. ไปใช้ในชีวิตในกิจกรรม คือ สามารถถอดบทเรียนผลการปฏิบัติ ตามหลักปฎิบัติแบบ ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติได้
o   ก่อนจะทำคิดพิจารณาว่า ความรู้ที่ต้องใช้มีอะไรบ้าง 
o   เรามีความรู้ประสบการณ์เพียงพอ มั่นใจหรือไม่ 
o   หากไม่ จะสืบค้นหาความรู้หลักวิชานั้นมาอย่างไร คือ Review ทบทวนอย่างไร
o   มีใครทำสำเร็จ เป็นแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) เรื่องนั้นหรือไม่ เขาทำอย่างไร ปัจจัยของความสำเร็จของเราคืออะไร 
o   เหตุผลที่เรามี ดีและถูกต้องหรือไม่ 
o   วิธีการที่เราจะทำถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ คิดก่อน วางแผนก่อน
o   พอประมาณกับศักยภาพของเรา กับเวลาที่เรามี กับความดีหรือกำลังทรัพย์ของเราหรือไม่ 
o   ตรงไหนที่น่าจะเป็นปัญหา จัดการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น 
o   จะวัดผล ประเมินผลอย่างไร ถึงจะรู้ว่าบรรลุได้ตามที่คาดหวัง 
o   ผลที่เกิดขึ้นจะดีต่อเราอย่างไร จะดีต่อผู้อื่นหรือไม่ จะดีต่อใคร จะมีผลอย่างไรใน ๔ มิติ 

ขั้นที่ ๓ ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเอง

พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ โดยการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน โดยครูทำหน้าที่เป็นเพียงผู้อำนวย ช่วยเหลือแนะนำเท่าที่จำเป็น คอยตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างรอบด้าน รู้ลึกขึ้น ละเอียดขึ้น ขั้นตอนนี้เน้นการจัดการเรียนรู้บนฐานปัญหาจริง เพื่อฝึกทักษะชีวิต ทักษะการแก้ปัญหา สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้กับการดำเนินชีวิตได้ สิ่งสำคัญคือ ผู้เรียนจะต้องคิดเอง ทำเอง แก้ปัญหาเอง และนำเสนอผลงานด้วยตนเอง
 

รูปที่ ๔ แสดงหลักคิด ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

  • หลักสำคัญคือ นักเรียนเป็นผู้คิดทำทั้งหมดทุกขั้นตอน ตั้งแต่ ตั้งปัญหาเอง ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ตั้งสมมติฐาน ออกแบบการตรวจสอบสมมติฐานนั้น ทำการทดลองพิสูจน์เรียนรู้ และเป็นผู้นำเสนอหรือเผยแพร่ 
  • ครูมีบทบาทเน้นเป็น "ผู้อำนวย" (Facilitator) อำนวยให้เกิดการเรียนรู้ เป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ดูอยู่ห่างๆ เพื่อกำกับทิศทาง และให้คำปรึกษาเมื่อจำเป็น 
  • กระบวนการเรียนรู้ที่ดี และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในขั้นนี้ คือ การเรียนรู้บนฐานปัญหา (Problem- based Learning) หรือ PBL อ่านแนวทางการเรียนการสอนแบบ PBL ที่ดีได้ที่นี่  
  • การเรียนรู้ด้วยตนเอง จะช่วยเสริม "แรงบันดาลใจ" ในการเรียนรู้ให้กับตนได้เอง 
  • นักเรียนจะได้ฝึกฝนตนเอง โดยการคิดและทำ บนหลัก ปศพพ.  สู่การเป็น "คนพอเพียง" ที่ ดี เก่ง และมีความสุขในการดำเนินชีวิต 
  • การฝึกให้นักเรียน "พึ่งตนเอง" ด้วยการฝึกให้ "เรียนรู้ด้วยตนเอง" ถือเป็น ภูมิคุ้มกันที่ดี ในศตวรรษใหม่นี้นั่นเอง 

ขับเคลื่อน PLC สพป. ๒ มหาสารคาม _ (๒) : ณ โรงเรียนบ้านเขวาทุ่ง อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม (๒) : PLC คืออะไร




ในรายงานฉบับสมบูรณ์ของโครงการ PLC ที่ผมทำกับ สพป.มค. เขต ๓ ผมได้เรียบเรียงความรู้เกี่ยวกับ PLC ไว้ส่วนหนึ่ง น่าจะมีประโยชน์กับครูบ้านเขวาทุ่งและมะชมโนนสง่า จึงคัดลอกมาลงไว้ที่นี่ครับ 

ตามหนังสือ “Learing by Doing: A Handbook for Professional Learning Communities at Work. (Four, Four, Eaker, & Many, 2010) บอกว่า ศาสตราจารย์ริชาร์ด ดู โฟร์ คือ “บิดาของ PLC” (PLC: Professional Learning Community) โดยเริ่มทำวิจัยและพัฒนาส่งเสริม PLC มาตั้งแต่ ปี ๒๕๕๑  ก่อนที่ ศาสตราจารย์นพ.วิจารณ์ พานิช “บิดาของ KM” ในประเทศไทย (ผู้วิจัย) (KM: Knowledge Management) เริ่มวิจัยและพัฒนาส่งเสริมการสร้าง CoP (Community of Practice)  ๕ ปี ในการตีความหนังสือเล่มนี้ (วิจารณ์, วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑, ๒๕๕๕) ท่านบอกว่า PLC ก็คือรูปแบบหนึ่งของ CoP นั่นเอง

นักการศึกษาไทยมักเริ่มตั้งคำถามถึงนิยามว่า “PLC คืออะไร” ก่อนคำถามตีความว่า “ทำไมต้องมี PLC” เหมือนๆ กับที่ตั้งคำถามว่า “KM คืออะไร” ซึ่งจะได้คำตอบหลากหลายกว้างลึกแตกต่างกันไปไม่ตายตัวขึ้นอยู่กับมุมมอง อย่างไรก็ตาม หลักการหนึ่งของการบริหารการเปลี่ยนแปลงคือ การมีถ้อยคำหนึ่งที่เข้าใจความหมายร่วมกันชัดเจน ดังนั้น ในเบื้องต้นการทำให้บุคลากรทางการศึกษารู้และเข้าใจคำว่า “PLC” ตรงกัน ก็ยังถือเป็นด่านแรกที่ต้องผ่านไปให้ได้ วิธีสื่อสารให้เข้าใจเรื่องนี้ที่ดีที่สุดน่าจะเริ่มจากการทำความเข้าใจเหตุที่ต้องมี PLC ประโยชน์ที่จะเกิดจาก PLC  และลักษณะของ PLC ก่อนจะกำหนดนิยามเพื่อตอบคำถามว่า “PLC คืออะไร”ต่อไป 

จากประสบการณ์กว่า ๑๐ ปีในการทำงานกับเขตพื้นที่การศึกษา (ในสหรัฐอเมริกา) พบว่า เขตฯ ที่ทำ PLC อย่างถูกต้อง ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนแตกต่างมากจากเขตฯ ที่ยังใช้การดำเนินการแบบ top- down บางโรงเรียนมีผลการเรียนดีมากและครูเกิดความกระตือรือร้น ทำงานร่วมกันอย่างเป็นทีม นักเรียนที่ล้าหลังได้รับช่วยเหลือจากทีมครู โดยที่ครูไม่ต้องทำงานนอกเวลางานปกติ ในขณะที่โรงเรียนที่ทำไม่ถูกต้องแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเลย  และมีผลงานวิจัยมากมายชี้ว่า การดำเนินการและการพัฒนากระบวนการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนที่ทำเป็นทีม โดยใช้แบบประเมินเดียวกันที่ร่วมกันพัฒนาขึ้น ดีกว่าวิธีการที่ครูต่างคนต่างทำ และต้องไม่ปล่อยให้ครูคนใดคนหนึ่งแยกตัวโดดเดี่ยวออกไปทำคนเดียว เพราะจะเป็นโทษต่อนักเรียนทำให้ผลการเรียนจะไม่ดี ความสำเร็จต่างๆ ทำให้ PLC แพร่ขยายไปทั่วสหรัฐอเมริการวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่ต้องการพัฒนาและปฏิรูปการศึกษา เช่น สิงค์โปร์ เป็นต้น การนำ PLC มาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทและวัฒนธรรมของคนไทยในการปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ ๒๑ น่าจะเป็นปัจจัยทำให้เกียรติภูมิและความสุขของครูไทยกลับมาอีกครั้ง 

หนังสือเล่มนี้บอกว่า เป้าหมายของ PLC คือการเปลี่ยนแปลงใน ๕ หมวด ดังต่อไปนี้

๑)       การเปลี่ยนแปลงปณิธานความมุ่งมั่นพื้นฐาน

จากเน้นการสอน
เป็นเน้นการเรียนรู้
จากเน้นสิ่งที่สอน
เป็นเน้นสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้
จากการได้สอนครอบคลุมเนื้อหา
เป็นการแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีความรู้และทักษะเหล่านั้น
จากการมอบคู่มือหลักสูตรแก่ครูแต่ละคน
เป็นจัดให้ทีม PLC ได้สร้างความรู้ร่วมกันเกี่ยวกับหลักสูตรที่จำเป็น

๒)       การเปลี่ยนแปลงการสอบ

จากการสอบเพื่อได้- ตกนานๆ ครั้ง
เป็นการสอบเพื่อให้นักเรียนปรับปรุงตนเอง และครูปรับปรุงวิธีจัดการเรียนรู้
จากการสอบเพื่อดูว่ามีนักเรียนคนไหนบ้างที่สอบตกตามเวลาที่กำหนด
เป็นการสอบเพื่อค้นหานักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ให้กลับมาเรียนกับเพื่อนได้ทำ
จากการสอบเพื่อให้รางวัลหรือลงโทษนักเรียน
เป็นการสอบเพื่อสื่อสารและสร้างแรงจูงใจต่อการเรียนของนักเรียน
จากการสอบความรู้และทักษะหลายๆ อย่างนานๆ ครั้ง
เป็นการสอบความรู้และทักษะครั้งละน้อยๆ แต่สอบบ่อยๆ
จากการออกข้อสอบและจัดการสอบโดยครูแต่ละคน
เป็นการออกข้อสอบและจ้ดการข้อสอบโดยทีม PLC
จากสภาพที่ครูแต่ละคนเป็นคนกำหนดเกณฑ์ประเมิน
เป็น PLC ร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อสร้างความสม่ำเสมอของการประเมินโดยครูในทีม
จากการเน้นการประเมินแบบใดแบบหนึ่ง
เป็นการประเมินโดยใช้การประเมินหลายแบบอย่างสมดุล
จากเน้นที่คะแนนเฉลี่ย
เป็นการเน้นตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียนแต่ละคนในความรู้และทักษะแต่ละด้าน

๓)       การเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาหรือการดำเนินการเมื่อนักเรียนเรียนล้าหลัง

จากการตัดสินใจโดยครูคนเดียว
เป็นการดำเนินการอย่างเป็นระบบร่วมกันในทีม PLC เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้รับการดูแลช่วยเหลือ
จากการกำหนดเวลาและการเรียนรู้ตายตัวสำหรับนักเรียน
เป็นการจัดเวลาและบทเรียนอย่างยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้
จากการสอนซ่อม
เป็นการเรียนเพื่อให้เข้าใจ
จากการช่วยเหลือตามความสมัครใจนอกเวลาเรียน
เป็นการเรียนบังคับในเวลาเรียน
จากมีเพียงโอกาสเดียวที่จะได้เรียนรู้
เป็นมีหลายโอกาสที่จะแสดงว่าได้เรียนรู้

๔)       เปลี่ยนแปลงการทำงานของครู

จากโดดเดี่ยว
เป็นการทำงานเป็นทีม พุ่งเป้าร่วมกันที่การเรียนรู้ของศิษย์และครู
จากครูแต่ละคนคิดคนเดียวว่านักเรียนควรได้เรียนรู้อย่างไรบ้าง
เป็นทีม PLC ร่วมกันคิดว่า “ความรู้ที่จำเป็น” สำหรับนักเรียนมีอะไรบ้าง
จากครูแต่ละคนกำหนดลำดับความสำคัญของมาตรฐานการเรียนรู้
เป็นทีม PLC ร่วมกันกำหนดลำดับความสำคัญของมาตรฐานการเรียนรู้
จากครูแต่ละคนกำหนดความเร็วในการเรียน
เป็นทีม PLC ร่วมกันกำหนดและใช้อัตราความเร็วของการเรียนรู้
จากครูแต่ละคนพยายามค้นหาวิธีการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการเรียน
เป็นทีม PLC ช่วยเหลือกัน
จากครูดำเนินกิจกรรมการสอนแบบเป็นกิจกรรมส่วนตัว ไม่เปิดเผย
เป็นครูแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการสอนและวิธีทำหน้าที่ครูอย่างเปิดเผยต่อกัน
จากการตัดสินใจตามความพึงพอใจส่วนตัว
เป็นการรวมตัวตัดสินใจตามความรู้จากประสบการณ์และ best practice ที่นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
จากการร่วมมือกันแบบเปะปะ ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ในการเรียน
เป็นการเน้นความร่วมมือในประเด็นที่มีลำดับความสำคัญสูงต่อผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ของศิษย์
จากการคิดว่า “นี่ศิษย์ฉัน” นั่น “ศิษย์คุณ”
เป็น “ศิษย์ของเรา”

๕)       เปลี่ยนวัฒนธรรมของโรงเรียน

จากต่างคนต่างเป็นอิสระต่อกัน
เป็นการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน
จากไวยากรณ์แห่งการบ่นว่า
เป็นไวยากรณ์แห่งความตั้งใจมุ่งมั่น
จากการวางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว
เป็นการวางแผนให้เกิดผลสำเร็จระยะสั้นจำนวนมาก
จากการชื่นชมยกย่องเป็น “ครูดีเด่น” ปีละครั้ง
เป็นการยกย่องผลสำเร็จเล็กๆ ที่จำเพาะ และมีผู้ได้รับการยกย่องจำนวนมากและบ่อยๆ

PLC จะเปลี่ยนแปลงโรงเรียนและวงการศึกษาโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนแปลงจากภายในระดับรากฐาน จิตสำนึก ถึงระดับโครงสร้าง  ถึงรากถึงโคน (transformation) ครูแต่ละคนจะทำหน้าที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ด้วยตนเอง เป็นผู้กระทำไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ เป็น “ประธาน” ไม่ใช่เป็น “กรรม” ครูจะรวมตัวกันเป็นชุมชน (Community) ที่ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของอย่างเท่าเทียมกัน และสิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกันคือ ความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพของการเรียนรู้ของนักเรียนเพื่อให้มีทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑ ผู้คนจะไม่หวงความรู้ จะเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันอย่างเข้มข้นและเป็นทางการ โรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษาจะกลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้

PLC คือ กระบวนการต่อเนื่องที่ครูและนักการศึกษาทำงานร่วมกัน ในวงจรของการร่วมกันตั้งคำถาม และการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อบรรลุผลการเรียนรู้ที่ดีขึ้นของนักเรียน โดยมีความเชื่อว่า หัวใจของการพัฒนาการเรียนรู้ให้ดีขึ้น อยู่ที่การเรียนรู้ที่ฝังอยู่ในการทำงานของครูและนักการศึกษา...

ศาสตราจารย์นพ.วิจารณ์ สรุปว่า PLC เป็นเครื่องมือของการเปลี่ยนชีวิตครู เปลี่ยนจาก “ผู้สอน” เป็น “นักเรียน” เปลี่ยนจาก “โดดเดี่ยว” เป็น “มีเพื่อน มีกลุ่ม” รวมตัวเป็นชุมชน ทำงานแบบปรึกษาหารือและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมีเป้าหมายที่เด็ดเดี่ยวชัดเจน คือ ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑ ของศิษย์ทุกคน