วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ครูเพ็ญศรี ใจกล้า กับการสอน "จิตอาสา" ความดีระดับ ๖

ผมมีสมุดบันทึกเชิงชื่นชมสำหรับหยิบยกแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) (ไว้ที่นี่) ด้วยความประสงค์ ๒ ประการคือ เพื่อช่วยเผยแพร่ BP สู่ครูเพื่อศิษย์ และเพื่อยกย่องชื่นชมเสริมแรงบันดาลใจให้ครูผู้เป็นเจ้าของปัญญาปฏิบัติ (tacit knowledge) นั้นๆ

ที่ผ่านมาไม่เคยเขียนถึงปัญญาปฏิบัติของคุณครูเพ็ญศรี ใจกล้า ทั้งที่ผมนับถือท่านเป็นครูที่ทำให้ผมเรียนรู้เรื่องการพัฒนาการศึกษา ตั้งแต่ "ไม่รู้เรื่อง" จนถึง "รู้ว่าไม่รู้เรื่อง" และเป็นครูคนแรกที่ผมคิดว่าเป็นครูเพื่อศิษย์ตัวอย่างในศตวรรษที่ 21 เหตุก็เพราะผมเห็นว่าไม่จำเป็นเลย เนื่องจาก ๑) อ่านปัญญาปฏิบัติจากงานเขียนของท่านเองดีกว่า (อ่านได้ที่นี่ครับ) และ ๒) อย่างที่เรียนว่าท่านเป็นครูเพื่อศิษย์ที่ระเบิดจากภายในที่มีแรงบันดาลใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว



วันนี้ เรายิ่งได้ประจักษ์ชัดว่านักเรียน/ลูกศิษย์ของครูเพ็ญศรี มีพัฒนาการด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Learning Outcome) ไม่เฉพาะขั้นนิยาม (เนื้อหา) ตีความ และนำไปใช้ แต่ไปถึงทำให้นักเรียนเกิด "จิตอาสา" นักเรียนกลุ่มฮักนะเชียงยืนเรียนรู้ด้วยกระบวนการใหม่ในชุมชนบ้านแบก ใช้ประสบการณ์ใหม่ที่ได้เรียนรู้ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจลในโครงการปลูกป่ารักษ์โลก   แต่ละคนได้พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในตนเองอย่างเต็มที่  อ่านงานของพวกเขาได้ที่นี่ครับ


ครูเพ็ญศรี ใจกล้าเองก็ถูก "จับภาพ" จากเครือข่ายชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ ในบทบาทของครูยุคใหม่ที่ปรับวิธีเรียนของนักเรียน เปลี่ยนวิธีสอนของตนแลพเพื่นครูมาเน้นให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผ่านโครงงาน (Project-based Learning) โดยเฉพาะโครงงานจิตอาสาบนฐานปัญหาชีวิตจริง (อ่านได้ที่นี่)

ผมสังเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้ของคุณครูเพ็ญศรี ใจกล้า จากประสบการณ์ที่ได้รู้จักคุณอาเพ็ญศรี (ผมดีใจที่ได้มีโอกาสเรียกแบบนี้ครับ) ได้เป็น ๓ ส่วนได้แก่

๑) สร้างความภาคภูมิใจเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
๒) ฝึกทักษะการคิดและทำโดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ปศพพ.) มาใช้
๓) สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผ่านการเรียนรู้แบบ PBL




๑) สร้างความภาคภูมิใจเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
    ครูเพ็ญศรีและเพื่อนครูที่โรงเรียน ให้ความสำคัญจากมิติภายในใจของนักเรียนอย่างยิ่ง การจัดการเรียนรู้จึงเน้นการเตรียมความพร้อมของใจนักเรียนเป็นเบื้องต้น โดยนำกิจกรรมจิตตปัญญาศึกษา และการเรียนรู้ตนเองตามหลักพุทธมาปรับใช้ในการออกแบบกิจกรรมต่างๆ เช่น เขียนจดหมายถึงตนเองในวัยเด็ก ฝึกอยู่กับตนเองและสะท้อนความคิดความรู้สึกของตนเอง ฯลฯ ผมคิดว่าปัจจัยของความสำเร็จอย่างหนึ่งของคุณครูเพ็ญศรี คือคุณครูสุกัญญา มะลิวัลย์ ครูแนะแนวที่เชี่ยวชาญจิตวิทยาและจิตตปัญญาศึกษา ผมคิดว่าท่านเป็นครูอีกท่านหนึ่งที่เราควร "จับภาพ"  โดยสรุปในขั้นตอนนี้ทีมครูเพ็ญศรีจะเน้นให้นักเรียนเห็นคุณค่าของตนเอง ภาคภูมิใจในตนเอง จนเกิดความมั่นใจตนเอง มั่นใจว่าตนเองสามารถทำได้ จึงเกิดความกล้าที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง เห็นคุณค่าและความหมายกิจกรรมการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่า เกิดแรงบันดาลใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง


๒) ฝึกทักษะการคิดและทำโดยน้อมนำหลัก ปศพพ.
    เครื่องมือในการการฝึกให้นักเรียนคิดของครูเพ็ญศรีคือ การโยนคำถามกระตุ้นให้คิด ทุกครั้งที่ได้คุยกับท่าน จะได้ยินคำว่า "......มั้ย" ปิดท้ายประโยคบ่อยๆ  บ่งบอกถึงการสร้างประโยคสนทนาที่ไม่มีผิดมีถูก อีกทั้งแสดงถึงความเป็นกึ่งคำถามของประโยคนั้น ทำให้ผู้ฟัง "ต้องคิด" เมื่อได้คิดจึงได้ "ฝึกคิด" ... ตอนหลังๆ ของการจัดการเรียนรู้ เราพบว่า คำถามต่างๆ ที่นำมาใช้นั้นสอดคล้องกับหลักการคิดตามหลัป ปศพพ. นั่นเอง  สำหรับลักษณะการตั้งคำถามของครูเพ็ญศรีนั้น ผมคิดว่า "ไม่มีรูปแบบ" เป็นการตั้งคำถามขึ้นทันทีหลังจากที่ได้ฟังสถานการณ์จากนักเรียน (ระหวางที่โต้ตอบกับนักเรียน) เป็นคำถามที่ผ่านการคิดและพิจารณาจากประสบการณ์ของท่านเอง.... (หรือว่าครูที่จะสอนให้นักเรียนคิดเป็นครูต้องคิดเป็นก่อนเสมอ?)
    ส่วนการฝึกทักษะการแก้ปัญหาและการทำงานให้นักเรียน ผมคิดว่าครูเพ็ญศรีและทีมงานน่าจะได้ประสบการณ์ส่วนหนึ่งจากโครงการ LLEN มหาสารคาม ที่เข้ามาช่วยสร้างโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านโครงงาน ปัจจุบันทางโรงเรียนใช้วิชาค้นคว้าอิสระ (Independent Study, IS) ในการฝึกการคิดและการทำโครงงานให้นักเรียนอย่างเป็นระบบ
    ในทั้งการฝึกคิดและฝึกทำนี้ สิ่งสำคัญที่ครูเพ็ญศรีเน้นว่าต้องมีไม่ขาด และสม่ำเสมอคือการ ถอดบทเรียน สะท้อนบทเรียน โดยใช้เครื่องมือจัดการความรู้ต่างๆ เช่น BAR, AAR, แลกเปลี่ยนเรียนรู้, จัดนิทรรศการ Show & Share ในโรงเรียน เป็นต้น



๓) สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผ่านการเรียนรู้แบบ PBL

    การกระตุ้นให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองของครูเพ็ญศรี เด่นที่การเน้นให้นักเรียนได้ลงพื้นที่ชุมชน กำหนดปัญหาอยู่บนฐานชีวิตจริงๆ ของเด็ก  และทุกๆ ขั้นตอนของการเรียนรู้นักเรียนเป็นผู้คิดและทำทั้งหมด ทีมครูจะเป็นเพียงผู้อำนวยการเรียนรู้จริงๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนอ่านได้จากผลงานของกลุ่มฮักนะเชียงยืนที่นี่ครับ

ทั้ง ๓ ส่วนนี้ไม่ได้แยกเป็นขั้นตอนชัดเจนแบบเป็นรูปแบบ แต่ชัดเจนในขณะที่แต่ละกลุ่มขยับระดับทักษะของตนขึ้นไปเรื่อยๆ โดยมีทีมครูดูอยู่อย่างใกล้ชิดแบบออนไลน์ ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น