วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีการถอดบทเรียนให้เห็น "คุณค่า" และ "ปัญญาปฏิบัติ"

ในการทำเวที PLC กับ คุณครูเพื่อศิษย์อีสานคราวนี้ (๒๒-๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙) ผมผุดไอเดียกับตนเองว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานหนุนเสริมครูฯ คือ ทำอย่างไรให้ครูเพื่อศิษย์สามารถถอดบทเรียนตนเองได้ ในระดับที่ทั้งตนและคนอื่นเห็น "คุณค่า" และ "ปัญญาปฏิบัติ" .... ผมขอเสนอหลักคิดและวิธีปฏิบัติในการถอดบทเรียนตนเอง ดังนี้ครับ

ถอดบทเรียนกระบวนการ วิธีการ (ปัญญาปฏิบัติ)

๑) ให้ครูเพื่อศิษย์ เขียนประสบการณ์ที่ตนเองภาคภูมิใจในการเป็นครู ลงบนกระดาษให้มากที่สุด  เขียนเป็นชื่อเรื่องสั้นๆ เช่น การแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก การแก้ปัญหาเด็กเกเร การสอนวิชาคณิตคิดสร้างสรรค์  หรือเขียนอย่างไรก็ได้ (ไม่ตายตัว ไม่มีผิดถูก) เช่น ครูอาจเขียนว่า ประสบการณ์เกี่ยวกับเด็กชายแดง กิจกรรมค่ายลูกเสือ ... อย่างนี้ก็ได้

๒) ให้ครูเพื่อศิษย์ เลือกความสำเร็จที่ภูมิใจที่สุดในชีวิตความเป็นครู ความภูมิใจที่สุดอาจมีหลายสิ่งหลายอย่าง ให้เลือกเอาสิ่ง ให้เลือกเอาสิ่งที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนที่มีองค์ประกอบเหล่านี้ชัดเจน

  • เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นแล้ว ทำให้ครูมีความสุข 
  • เป็นเรื่องที่อยากจะบอกเล่าขยายต่อไป ให้ใครๆ รู้  และนำไปทำบ้าง 
  • ลูกศิษย์ได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้นจริง มีผลลัพธ์เชิงประจักษ์เกิดขึ้นจริง
  • ครูได้ลงมือปฏิบัติสิ่งนั้นๆ ด้วยตนเอง อาจเป็นสิ่งที่ครูคิดขึ้นเองหรือต่อยอดมาจากสิ่งที่ได้เรียนรู้จากผู้อื่นก็ได้
  • ครูสามารถเล่าให้คนอื่นฟังได้ว่า เริ่มอย่างไร ทำอย่างไร และรู้ได้อย่างไรว่าได้ผล
๓)  ให้ครูเพื่อศิษย์ เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ (ตามใจของผู้เล่า ไม่คาดคั้นหรือตั้งคำถาม ไม่ถามแทรก ให้ได้รายละเอียดในรอบแรก เว้นแต่ผู้เล่าเล่าเรื่องเองไม่ได้)  ผู้ถอดบทเรียนหรือผู้ฟัง คอยจับประเด็นวิธีการ (How to) ว่า ครูเพื่อศิษย์ทำอะไรก่อนหลัง ตั้งแต่ต้นจน อาจจะใช้เครื่องมือ ไทม์ไลน์ หรือใช้ลูกสอน ก็ได้

๔) ผู้ถอดบทเรียน เล่าเรื่องที่จับใจความได้ ให้ครูเพื่อศิษย์เจ้าของ BP (ฺBest Practice หรือ ปัญญาปฏิบัติ) ฟังอย่างเป็นลำดับขั้นตอน  และคอยถามเป็นระยะว่า  "....ผมเข้าใจถูกไหมครับ?..." จากนั้น ตั้งคำถามเพื่อให้ครูเพื่อศิษย์เล่าซ้ำหรือละเอียดขึ้นในส่วนที่สำคัญ ๆ

๕) นำเอาขั้นตอนเหล่านั้นมาวาดเป็นแผนภาพ  ก่อนจะตั้งชื่อโมเดล และเขียนคำอธิบายอีกครั้ง

หากทำได้ดี ผู้อื่นที่ได้อ่านผลการถอดบทเรียนจะสามารถนำปฏิบัติได้ไม่มากก็ไม่น้อย  สิ่งที่ตกผลึกจากการปฏิบัติ ที่มักเรียกว่า "แนวปฏิบัติที่ดี" หรือ BP นี้ คนทำงานเรื่องจัดการความรู้ เราเรียกว่า "ปัญญาปฏิบัติ" นั่นเองครับ

ถอดบทเรียนปัจจัยแห่งความสำเร็จ

หลักจากถอดบทเรียนกระบวนการเสร็จเรียบร้อยแล้ว  คำถามบังคับ ที่ต้องถามครูเพื่อศิษย์คือ  "... ท่านคิดว่าอะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จของท่าน ... "  แนะนำให้จับประเด็นเป็นข้อ ๆ  ออกมาก่อน แล้วเรียงลำดับความสำคัญจากมากไปหาน้อย

หลังจากได้ปัจจัยของความสำเร็จแล้ว ให้ตั้งคำถาม "ทวน" กับครูผู้เล่าเรื่องว่า  "... หากไม่มีปัจจัยข้อใด จะทำไม่สำเร็จเลย... "  คำตอบของครู คือปัจจัยแห่งความสำเร็จที่แท้จริง

ส่วนใหญ่ ปัจจัยแห่งความสำเร็จอาจแบ่งออก ๒ ส่วน คือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก  ปัจจัยภายในน่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า "คุณลักษณะ" ของครูเพื่อศิษย์ เช่น เป็นคนขยัน มีเมตตากรุณา มีจิตวิญญาณความเป็นครู เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้  ฯลฯ  

ถอดบทเรียนให้เห็น "คุณค่า" 

คำถามคือ "... อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่ครูทำ?..."  คำตอบที่พบส่วนหนึ่ง เป็น "คุณลักษณะ" ไม่ใช่ "คุณค่า"  เพื่อความเข้าใจตรงกัน และให้ง่ายต่อการถอดบทเรียนให้เห็น "คุณค่า" ของงาน ผมขอเสนอแผนภาพพิจารณาด้านล่าง



ขอเสนอวิธีการถอดบทเรียน "คุณค่า" ดังนี้

๑) ให้ถามครูว่า "คุณประโยชน์" อะไรบ้าง ที่เกิดจาก BP นั้น  ให้เขียนออกมาให้มากที่สุด

๒) ให้พิจารณาจัดหมวดหมู่ "คุณประโยชน์" เหล่านั้นว่า เป็นประโยชน์สำหรับใคร ต่อนักเรียน ต่อผู้ปกครอง ต่อเพื่อนครู และต่อสังคม หรือไม่ อย่างไร และตั้งคำถามให้ได้ขยายกรอบหรือรายละเอียดได้อีก เช่น  "...ไมีประโยชน์กับใครอีกไหม นอกจากนี้?..."  "...นอกจากข้อเหล่านี้แล้ว ประโยชน์สำหรับ...... มีอีกไหม?..." เป็นต้น

๓) ให้พิจารณาว่า "คุณประโยชน์" ในแต่ละข้อนั้น ข้อใดเป็น "ผลลัพธ์" ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่ดีขึ้น ซึ่งอาจแบ่งพิจารณาจัดเป็น ๓ หมวด ได้แก่
  • ทำให้ "เก่งขึ้น"  คือ ทำให้มีความสามารถหรือมีทักษะมากขึ้น  เช่น อ่านออก เขียนได้ แต่งกลอนได้ดีเยี่ยม เป็นต้น 
  • ทำให้ "ดีขึ้น" คือ ทำให้เป็น "คนดี" มากขึ้น มีคุณลักษณะนิสัย มีพฤติกรรมดีขึ้น  เช่น  ทำให้นักเรียน เป็นผู้มีมารยาทเรียบร้อย ขยัน ประหยัด มีวัย ฯลฯ 
  • ทำให้ "มีความสุข"  คือ งานของครูทำให้ผู้ได้รับประโยชน์ มีความสุขมากขึ้น โดยเฉพาะ การเปลี่ยนทัศนคติ (เจตคติ) จากอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง จากไม่ถูกต้องเป็นทัศนคติที่ถูกต้อง  จากทัศนคติด้านลบเป็นด้านบวก เช่น  ทำให้เป็นคนรักเรียน  เห็นคุณค่าของตนเอง ฯลฯ 
๔) ให้คิดหาคำสำคัญที่รวมความหมาย (ประเด็น) ของคุณประโยชน์เหล่านั้น ....  จะสามารถสื่อสารได้ว่า อะไรคือ "คุณค่า" ของงานครูเพื่อศิษย์ 

บันทึกต่อ ๆ ไป  ผมจะลองแสดงตัวอย่าง การถอดบทเรียน "คุณค่า"  เพื่อเป็นการบูชาคุณครูเพื่อศิษย์ครับ

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขับเคลื่อน PLC มหาสารคาม : เวทีครูพูนพลังครู (อีสาน) _๐๒ : ครูเพื่อศิษย์ผู้เข้าร่วม

วันที่ ๒๒ - ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙ CADL สำนักศึกษาทั่วไป จัดเวที PLC ครูเพื่อศิษย์อีสานต่อเนื่องเป็นปีที่ ๓ มีผู้เข้าร่วมเกือบ ๓๐ คน เป็นครูเพื่อศิษย์อีสานเข้าร่วมทั้งหมด ๑๙ ท่าน ศึกษานิเทศก์ ๔ ท่าน ทีมงาน CADL ๔ คน และอาจารย์สุจิดา และคุณกอล์ฟ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิสยามกัมมาจล รวมทั้งสิ้น ๒๙ ท่าน ...  ผม AAR กับตนเองว่า เวทีนี้ขยับเข้าใกล้ PLC ที่แท้จริงๆ ไปอีกก้าวใหญ่


ครูเพื่อศิษย์ที่มาร่วมเวทีนี้มีดังนี้
  • ครูเพ็ญศรี ใจกล้า การสอนแบบ 3PBL - Active Citizen Model จาก ร.ร. เชียงยืนพิทยาคม 
  • ครูเพ็ญศรี กานุมาน การสอนแบบ School Resource-based Model จาก ร.ร.นาสีนวนพิทยาสรรพ์
  • ครูศิริลักษณ์ ชมภูคำ การสร้างนักเรียนจิตอาสาด้วยการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ จาก ร.ร. บ้านหินลาด สพป. มค. ๑ 
  • ครูอัจฉราวรรณ ภิบาล การปรับทัศนคติการเรียนภาษาอังกฤษลูกศิษย์ ด้วยการสอนคิดแบบ Active Learning จาก ร.ร. หนองเหล็กศึกษา อบจ. มหาสารคาม
  • ครู ผอ. ไพฑูรย์ แวววงศ์ การสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา แก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
  • ครูสุกัญญา มะลิวัลย์ การนำจิตตปัญญาศึกษาสอนรายวิชาแนะแนว จาก ร.ร.เชียงยืนพิทยาคม
  • ครูจิรนันทร์ จันทยุทธ การสอนแบบอุปนัย และการใช้เงื่อนไขการเรียนนักศึกษาวิชาทหารช่วยนักเรียนอ่อน
  • ครูคเณศ ดวงเพียราช การปลูกฝังความมั่นใจให้นักเรียนปฐมวัย จาก ร.ร.เทศบาลบูรพาพิทยาคาร 
  • ครูภาวนา ดวงเพียราช การสอนแบบ "เพลิน" ในระดับปฐมวัย จาก ร.ร. เทศบาลโพธิ์ศรี เทศบาลเมืองมหาสารคาม
  • ครูจิตลัดดา ภวภูตานนท์  "สอนเด็กสอนชีวิต" จาก ร.ร. บ้านเก่าน้อยหนองเส็งหินลาด สพป.มค.๑ 
  • ครูจันทร์ เพียงดาห์  "กลอนสอนคิด" จาก ร.ร. บ้านหนองคูขาด สพป.มค.๑
  • ครูนิตยา มหาสโร จาก ร.ร. บ้านดอนหว่าน (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ครูนุชนาฎ เกษแก้ว จาก ร.ร. บ้านบรบือ (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ครูสุคนธา ดิษฐ์สุนนท์ จาก ร.ร.ชุมชนบ้านราด (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ครูนริดา ลาดโฮม จาก ร.ร. บ้านโนนราษีฝางวิทยา (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ครูมาลินี ระถี จาก ร.ร. บ้านหมี่เหล่าน้อย (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ครูวชิราภรณ์ ลมงาม จาก ร.ร. บ้านโนนทอง (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ดร.นุชรัตน์ ประสิทธิศิลป์ชัย ศึกษานิเทศก์ จาก สพป. กส. ๑ 
  • อาจารย์สายรุ้ง น้อยนาจารย์  ศึกษานิเทศก์ จาก สพป. กส. ๑ 
  • ดร.ไชยยา อะการะวัง ศึกษานิเทศก์ สพป. มค. ๑
  • อาจารย์สุรัมภา เพชรกองกุล ศึกษานิเทศก์ สพป. ๑
Cr. อาจารย์หมิม สถาปัตย์ มมส.
























ดูรูปทั้งหมดที่นี่ครับ

บันทึกต่อ ๆ ไป จะมาเล่า BP ของครูเพื่อศิษย์แต่ละท่านให้ฟังครับ

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขับเคลื่อน PLC มหาสารคาม : เวทีครูพูนพลังครู (อีสาน) _๐๑ กำหนด "การณ์" เรียนรู้

วันที่ ๒๒ - ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ที่กำลังจะถึงนี้ CADL สำนักศึกษาทั่วไป เป็นเจ้าภาพจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์อีสาน เพื่อส่งเสริมชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (PLC) ที่ วิชชิ่งทรี รีสอร์ท ต.ท่าพระ อ.เมือง จ.ขอนแก่น (คลิกที่นี่) จะมีครูเพื่อศิษย์เข้าร่วมประมาณ ๒๒ ท่าน ศึกษานิเทศก์ ๔ ท่าน และทีมงานจาก CADL อีก ๔ รวม ๓๐ คน

 วันที่ ๒๒ จะมีรถตู้ ๑ คัน จอดรอท่านที่ประสงค์จะร่วมเดินทางกับเรา ที่หน้าหน้าอาคารราชนครินทร์ (ตึก RN) รถจะออกเดินทางเวลา ๘.๐๐ น. น่าจะเดินทางไปถึงไม่เกิน ๑๐.๐๐ น. หากคุณครูท่านใดสะดวกไปเอง ก็ไปเจอกันที่วิชชิ่งทรีได้เลยครับ  เมื่อไปถึงแล้ว เชิญรับประทานอาหารว่างตามอัธยาศัย  ...เราจะเริ่มกันหลังเบรคเช้าครับ 

เราออกแบบกระบวนการเรียนรู้ดังภาพด้านล่าง



กำหนดเหตุการณ์ที่เสนอเป็นแนวทางเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน แบ่งเป็น ๔ ช่วงตอน ดังนี้
  • ช่วงที่ ๑  หลังเบรคเช้า - ถึงเที่ยง (วันแรก) เป็นเวทีเสวนากับครู BP ปีการศึกษานี้มี ๔ ท่าน (๓ BP)  จะเชิญครู BP นั่งเสวนากลางเวที โดยมีผมเป็นผู้ดำเนินการครับ  
    • ครูกุ้ง : การใช้จิตตปัญญาศึกษาจัดการศึกษาวิชาแนะแนว 
    • ครูเรย์ : การสอนแบบอุปนัย และการใช้เงื่อนไขการเรียนนักศึกษาวิชาทหาร ช่วยเด็กผ่านรอยต่อชีวิต 
    • ครูคเณศและครูภาวนา : การสอนแบบ "เพลิน" ในระดับอนุบาล 
  • ช่วงที่ ๒ หลังอาหารเที่ยง - สี่โมงครึ่ง  เป็นช่วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ BP จากครูเพื่อศิษย์ทุกท่านที่เข้าร่วมเวที   เวทีจะถึงจัดป็นกลุ่มย่อยๆ ๔-๕ กลุ่ม แล้วแต่ความเหมาะสม  แต่ละกลุ่มจะมีครูเพื่อศิษย์อีสานรุ่นพี่ ได้แก่ ครูเพ็ญศรี ใจกล้าง ครูเพ็ญศรี กานุมาร ครูศิริลักษณ์ ชมภูคำ ครูอัจฉราวรรณ ภิบาล ครูไพฑูรย์ แวววงศ์ และครุสุทิน สุทธิเจริญ และอาจารย์ศึกษานิเทศก์อีก ๔ ท่าน ช่วยเป็น Facilitator ด้วย 
  • ช่วงที่ ๓ เช้าวันแรกของวันที่ ๒๓ ตลอดครึ่งวัน เป็นเวทีอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "หลักสูตร 3PBL 4.0" โดยครูเพ็ญศรี ใจกล้า  ซึ่งเป็นแนวทางหลักของการหนุนเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ 
  • ช่วงที่ ๔  หลังอาหารเที่ยงของวันสุดท้าย จนถึงเบรคบ่าย เป็นการเล่าประสบการณ์ของครูศิริลักษณ์ ชมภูคำ เรื่อง "ความก้าวหน้าทางวิชาชีพของครูเพื่อศิษย์" 
 หลังเบรคบ่าย เราจะร่วมวางแผนกำหนดปฏิทินการขับเคลื่อน PLC ร่วมกัน ก่อนลาจากกันชั่วคราวครับ 

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๕๑ : สรุปผลการประเมินโครงงานบ้านวิทย์น้อย

ผมลองเอาผลการประเมินตามเกณฑ์ "โครงงานบ้านวิทยาศาสตร์น้อย" (ดาวน์โหลดเกณฑ์ได้ที่นี่) ของโรงเรียนเทศบาลเมืองมหาสารคามทั้ง ๗ โรงเรียน มาวิเคราะห์ภาพรวมในแต่ละด้าน เพื่อตีความเป็นข้อเสนอแนะสำหรับก้าวต่อไปของการสร้าง "นักวิทย์น้อย" ต่อไป  ดังนี้ครับ



เฉลี่ยร้อยละของคะแนน ตีความเชิงวิพากษ์เพื่อการพัฒนา ได้ดังนี้ครับ

เกณฑ์ข้อแรกได้คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๘๖ ไม่ถึงครึ่ง
  • โครงงานเกือบทั้งหมด ครบรอบวัฏจักรนักวิทย์น้อยเพียง ๑ รอบ เด็กได้ฝึกกระบวนการวัฏจักรนักวิทย์น้อยเพียง ๑ รอบ .... เป้าหมายอย่างน้อย ๓ รอบต่อปีการศึกษาครับ 
  • โครงงานเกือบทั้งหมดเป็น โครงงานเชิงทดลอง  ความจริงควรเรียกว่า โครงงานผลิตเชิงทดลอง หรือ ประดิษฐ์เชิงทดลอง (ผมเรียกเองครับ) เพราะส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมการ "พาผลิต" หรือ "พาประดิษฐ์" ที่เพิ่มตัวแปรอิสระเพื่อทดลองเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้น 
  • เกือบทั้งหมดเป็นโครงงานที่ยากเกินกว่าเด็กจะคิดได้เองทั้งกระบวนการ  ครูต้องไม่ห่วงว่า ต้องเป็นโครงงานที่ "ดูดี" "ดูยาก" หรือ "ซับซ้อน" หรือ "ใหม่"  .... หัวใจสำคัญอยู่ที่ เด็กได้คิดและได้ทำเอง ตามระดับความสามารถของตนเอง  
ที่มาของโครงการฯ ได้คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ ๖๖.๖๗ 
  • ที่มาของปัญหาโครงงานเกือบทั้งหมดมาจากครู หรือครูเป็นผู้สังเกตและกระตุ้นความสงสัยของนักเรียน  ....  เป้าหมายคือ เด็กเป็นคนสังเกตพบและสงสัยด้วยตนเอง ซึ่งต้องใช้การบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องยาวนาน 
  • โรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใยและบูรพาพิทยาคาร เป็นตัวอย่างที่ดีในการนำเอาหัวเรื่องที่เด็กสนใจ สงสัย และอยากรู้อยากเห็น มาเป็นประเด็นในการทำโครงงาน  
การมีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการ ได้คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ ๔๗.๖๒ 
  • ครูเป็นผู้คิดออกแบบกระบวนการทดลอง ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม โดยให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมบ้าง ด้วยการตั้งคำถามนำ หรือ การมอบหมายเป็นคำสั่ง ... เป้าหมายคือ เด็กคิดออกแบบกระบวนการเองได้ (คงต้องฝึกอีกหลายปี?)
  • คงต้องค่อย ๆ ปลูกฝังไปครับ ควรเริ่มจากโครงงานสำรวจเหมือนโรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐาน เช่น การสังเกต การเปรียบเทียบ แยกหมวดหมู่ การวัด ฯลฯ  แล้วค่อย ๆ ก้าวไปสู่ โครงงานทดลอง  -> ต่อด้วยโครงงานประดิษฐ์หรือผลิต -> และโครงงานเชิงทฤษฎีเมื่อโตขึ้น 
  • โครงการบ้านวิทย์ศาสตร์น้อย ออกแบบ วัฏจักรนักวิทย์น้อย ในลักษณะของการ "สำรวจตรวจสอบ" แทนที่จะเขียนว่า "ทดลองพิสูจน์สมมติฐาน"  ... ผมตีความว่า การปลูกฝังนักวิทย์น้อยที่เยอรมัน ซึ่งเป็นต้นตำหรับที่เรานำมาใช้ ต้องการให้เน้นที่โครงการสำรวจในระดับอนุบาล 
  • อย่างไรก็ดี ...  ให้พิจารณาเด็กของเราเป็นหลักครับ .... 
 ข้อ 4 5 6 และ 7 ได้คะแนนเฉลี่ยสูง บอกว่า
  • เด็ก ๆ ได้ลงมือทำ อันนี้เริ่มได้ดีมากครับ 
  • เด็ก ๆ ได้บันทึกข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ เกือบทั้งหมดเป็นการวาดภาพ ตามใบงานที่ครูเตรียมให้ 
  • ข้อ ๕  ที่ๆ ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ๑๐๐ แสดงว่า เด็กได้อธิบาย นำเสนอ และสรุปได้สอดคล้อง  อย่างไรก็ดี ต้องเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ฝึกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำด้วยตนเองให้มากขึ้น จนถึงขั้นสรุปได้ด้วยตนเอง 
ด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของโครงงาน 
  • หัวเรื่องของโครงงานส่วนใหญ่ มีที่มาจากหน่วยการเรียนในหลักสูตร หรือเป็นสิ่งที่ครูมีแผนและกำหนดแนวทางไว้แล้ว  จึงเป็นโครงงาน "พาทำ"  ...  หากเป็นความคิดริเริ่มของเด็กจริง ๆ  แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเรื่องยาก  ผมจะให้คะแนนมากกว่านี้แน่นอนครับ  
ข้อเสนอแนะ
  • ต้องทำต่ออย่างต่อเนื่องครับ  พัฒนาต่อไป จนได้หลักสูตรของโรงเรียนที่กำหนดในแผนการจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน  เช่น อนุบาล ๑ ทำการทดลองชุด A + โครงงานสำรวจ  อนุบาลสองทดการทดลองชุด B + โครงงานทดลอง อนุบาล ๓ ทำการทดลองชุด C +โครงงานประดิษฐ์ เป็นต้น 
  • ในช่วงที่เดินทางไปรับป้ายพระราชทาน ควรพาครูไปศึกษาดูงานในโรงเรียนต้นแบบด้านการจัดการเรียนการสอนที่ได้รับการยอมรับเรื่องการจัดกระบวนการเรียนรู้ 
  • ควรจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการการทดลองใหม่ ๆ ให้ครูอนุบาลเป็นประจำทุกปี (อย่างน้อยในช่วงปีแรก) เพื่อเพิ่มความศักยภาพของครูผู้สอน 
  • ทำ PLC ต่อไปครับ 

ขอบคุณคุณครูทุกท่านครับ และของแสดงความยินดีด้วยครับ

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๔๙ : ผลการประเมินโครงงานบ้านวิทย์น้อย เรื่อง "สเปรย์สมุนไพรปรับอากาศ"

โครงงานเรื่อง "สเปรย์สมุนไพรปรับอากาศ" ของนักเรียนชั้นอนุบาล ๓ จากโรงเรียนเทศบาลบ้านค้อ เป็นการประดิษฐ์ทดลอง  ที่เรียกว่าเป็นโครงงานประดิษฐ์ เพราะต้องการประดิษฐ์สเปรย์สมุนไพร และที่เพิ่มคำว่า "ทดลอง" ด้วย เพื่อจะเน้นย้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับโครงงานบ้านวิทยาศาสตร์ เพราะการทดลองวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่จะปลูกฝังนักวิทย์น้อยได้

เคยมีคนไปตั้งคำถามกับ ศาสตราจารย์ ริชาร์ด ฟายน์แมน  (Richard Feynman) นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล  ว่า  วิธีการทางวิทยาศาสตร์มีกี่ขั้นตอน ... นักการศึกษาสอนวิทยาศาสตร์จะสอนกันทั่วโลกว่า มี ๔ ขั้นตอนคือ ตั้งคำถาม->ตั้งสมมติฐาน->พิสูจน์สมมติฐาน->สรุปและอภิปรายผล  ....  แต่ฟายน์แมนกลับตอบว่า  มีเพียงขั้นตอนเดียว คือ การลงมือทำการทดลอง  (ปฏิบัติ) ... (่ผมฟังเรื่องนี้จาก อ.เนรมิตร นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นปราชญ์ที่ผมให้ความเชื่อถือท่านหนึ่ง)

ภาพรวมของโครงงาน (ดาวน์โหลดได้ที่นี่ครับ)

นักเรียนสังเกตพบว่า มีผลและใบมะกรูดวางอยู่ในห้องน้ำและที่บ้านบ่อย เลยเกิดความสงสัยว่า จะสามารถใช้สมุนไพรชนิดใดบ้างที่สามารถนำมาดับกลิ่นในห้องน้ำได้ดีกว่ามะกรูดหรือไม่ เป็นที่มาของตัวแปรต้น ๓ ชนิด คือ มะกรูด ตะไคร้ และใบเตย  นำมาทำสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ แล้วเปรียบเทียบความแรงของกลิ่น โดยควบคุมปริมาณของสมุนไพรแต่ละชนิด และปริมาณแอลกอฮอล์ ให้เท่ากัน

ผลการประเมินตามเกณฑ์วัฏจักรนักวิทย์น้อย (ดาวน์โหลดเกณฑ์ได้ที่นี่)
ผมจะเขียนผลการประเมินเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นเหตุและผลของการให้คะแนนในแต่ละข้อของเกณฑ์ประเมินตามความเห็น เมื่อพิจารณาจากหลักฐาน ทั้งที่ได้อ่านจากเล่มและทั้งจากที่ได้ฟังการนำเสนอเมื่อครั้งไปลงพื้นที่ โรงเรียน

๑) เป็นโครงงานหรือไม่
วิธีให้คะแนนข้อนี้ เกณฑ์กำหนดให้ดูว่ามีวัฏจักรวิจัย ๖ ขั้นตอนและต่อเนื่องเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่ให้หยุดตรวจ ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ถ้าใช่... ให้ ๑ คะแนน และหากครบกระบวนต่อเนื่องมากกว่า ๒ วงรอบ ให้ ๓ คะแนน
โครงงานนี้ผมให้คะแนน ๑ คะแนน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ถือเป็นโครงงานทดลอง มีการฝึกทักษะตามวัฏจักรนักวิทย์น้อยครบถ้วนทั้ง ๖ ขั้นตอน ๑ วงรอบ ดังนี้
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/609484
ผลการประเมินตามเกณฑ์วัฏจักรนักวิทย์น้อย (ดาวน์โหลดเกณฑ์ได้ที่นี่)


ผมจะเขียนผลการประเมินเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นเหตุและผลของการให้คะแนนในแต่ละข้อของเกณฑ์ประเมิน ตามความเห็นเมื่อพิจารณาจากหลักฐาน ทั้งที่ได้อ่านจากเล่มและทั้งจากที่ได้ฟังการนำเสนอเมื่อครั้งไปลงพื้นที่โรงเรียน 


๑) เป็นโครงงานหรือไม่

วิธีให้คะแนนข้อนี้ เกณฑ์กำหนดให้ดูว่ามีวัฏจักรวิจัย ๖ ขั้นตอนและต่อเนื่องเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่ให้หยุดตรวจ ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ถ้าใช่... ให้ ๑ คะแนน และหากครบกระบวนต่อเนื่องมากกว่า ๒ วงรอบ ให้ ๓ คะแนน

โครงงานนี้ผมให้คะแนน ๑ คะแนน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ถือเป็นโครงงานทดลอง มีการฝึกทักษะตามวัฏจักรนักวิทย์น้อยครบถ้วนทั้ง ๖ ขั้นตอน ๑ วงรอบ   ดังนี้
  • ชี้ชวนให้สงสัย (ตั้งคำถาม) : มีคำถามการทดลองชัดเจน ... สมุนไพรชนิดใดจะดับกลิ่นได้ดีกว่ากัน ?
  • พาให้คาดเดาคำตอบ (รวบรวมความรู้และตั้งสมมติฐาน) : ครูให้นักเรียนวาดภาพสมุนไพรที่ตนเองคิดว่าดับกลิ่นได้ดีที่สุด เด็ก ๑๑ คน บอกว่ามะกรูด ๖ คนบอกตะไคร้ และ อีก ๔ คนบอกว่าใบเตย
  • พิสูจน์ตรวจสอบคำตอบนั้น (สำรวจตรวจสอบ พิสูจน์สมมติฐาน) : ครูพาเด็ก ๆ ทำน้ำสกัดกลิ่นสมุนไพรทั้ง ๓ ชนิด
  • แบ่งปัน อธิบาย (อธิบายอภิปรายผลการทดลอง) : ครูใช้คำถามนำให้เกิดการคิดอภิปรายว่า สเปรย์สมุนไพร สามารถดับกลิ่นได้หรือไม่
  • ระบาย บันทึก (จดบันทึกผลการทดลอง) :  ในขั้นการบันทึกผล ครูให้เด็กวาดรูปสะท้อนผลการลงความเห็นของตนเอง
  • สรุปผลและนำเสนอ (สรุปการทดลองและนำเสนอ) : ครูใช้เทคนิคนำเพื่อให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการสรุปผลการทดลอง
 ๒) ที่มาของคำถามในการทำโครงงาน

เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าเกิดจากครู ๑ คะแนน ถ้าเป็นเด็กและครูช่วยกันตั้งคำถาม ได้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กตั้งคำถามเอง จะได้ ๓ คะแนน

ผมให้ ๓ คะแนนครับ

๓) การะบวนการในการสำรวจตรวจสอบ

เกณฑข้อนี้มี ๒ ข้อย่อย ๑) ดูที่การได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการสำรวจตรวจสอบ ถ้าครูคิดให้ ๑ คะแนน เด็กและครูร่วมกันให้ ๒ คะแนน และถ้าเป็นเด็กคิดให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๒ คะแนน  เด็ก ๆ ได้มีส่วนร่วมในการคิดถึงสมุนไพรที่สามารถดับกลิ่นได้ และครูมอบหมายให้เด็ก ๆได้มีส่วนร่วมในการจัดสมุนไพร

เกณฑ์ข้อย่อย ๒) เด็กทำเองหรือไม่ ถ้าใช่!! ให้ ๓ คะแนน ถ้าเด็กมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมได้ ๒ คะแนน และถ้าครูพานำทำตลอด จะได้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๑ คะแนนครับ เด็ก ๆ ได้ลงมือทำตามครูในแต่ละขั้นตอน ...  โครงงานยากเกินไปเลยทำให้เด็กมีส่วนร่วมในการคิดเองทำเองทั้งหมดได้ยาก ....

๔) การรายงานผลและการบันทึกการสำราวจตรวจสอบ 

เกณฑ์บอกว่า มีการบันทึกหรือไม่? ถ้ามี ให้ดูต่อว่าสอดคล้องกับสมมติฐานหรือไม่  ถ้าใช่ ให้ ๒ คะแนน ถ้าไมสอดคล้องให้ ๑ คะแนน  ถ้าไม่มีการบันทึกให้ ไม่ให้คะแนน

ข้อนี้ ๑ คะแนน มีการให้นักเรียนวาดภาพประกอบและสะท้อนการลงความเห็น... ให้เริ่มปลูกฝังการบันทึกด้วยตัวเลขจำนวนเลยครับ  คณิตศาสตร์คือภาษาของวิทยาศาสตร์  

๕) การสรุปและอภิปรายผลการตรวจสอบ

ข้อ ย่อย ๕.๑) เกณฑ์กำหนดว่า ถ้าสิ่งที่สรุปสอดคล้องกับคำถามและผลการสำรวจให้ ๑ คะแนน ถ้าไม่ให้ ๐ คะแนน ส่วนข้อย่อย ๕.๒) ถามว่าใครเป็นนสรุป ถ้าเป็นครูให้ ๐ คะแนน  เด็กต้องมีส่วนร่วมในการสรุป ถึงจะได้ ๑ คะแนน

ข้อ ๕.๑) ให้ ๑ คะแนน และ ๕.๒) ให้ ๑ คะแนนครับ  เด็กได้มีส่วร่วมตลอดทุกกิจกรรม

๖) การส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 

เกณฑ์ กำหนดว่า ถ้าเด็กได้ฝึกการสังเกต การวัด การจำแนก การเปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา การคำนวณ การจัดกระทำกับข้อมูลและสื่อความหมายข้อมูล การลงความเห็นจากข้อมูล การพยากรณ์ ฯลฯ  เหล่านี้ อย่างน้อย  ๔ ทักษะขึ้นไป ให้ ๓ คะแนน ถ้า ๓ ทักษะให้ ๒ คะแนน และถ้า ๒ ทักษะให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ได้ไป ๒ คะแนนครับ   ได้แก่ สังเกต การพยากรณ์ และการลงความเห็นจากข้อมูล

๗ การส่งเสริมพัฒนาการหรือทักษะด้านอื่นๆ 

เกณฑ์ ข้อนี้ส่งเสริมการบูรณาการวัฏจักรนักวิทย์น้อยกับการฝึกทักษะด้านอื่นๆ เช่น ด้านภาษาและการสื่อสาร ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้านสังคมเช่นการทำงานร่วมกัน ด้านการเคลื่อนไหวหรือฝึกร่างกายให้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้แข็งแรง หรือ ด้านอารมณ์และจิตใจให้เด็ก ๆ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ทักษะชีวิต ฯลฯ  โดยกำหนดว่า ถ้ามี ๔ ด้าน ขึ้นไปให้ ๓ คะแนน ถ้ามี ๓ ด้านให้ ๒ คะแนน ถ้ามี ๒ ด้านให้ ๑ คะแนน

ข้อนี้ให้ ๒ คะแนนครับ ได้แก่ ด้านการเรียนรู้ ด้านการเคลื่อนไหว และด้านการสื่อสาร

๘) ความริเริ่มสร้างสรรค์ของโครงงาน 

โครงงานมีความแปลกใหม่หรือไม่ ถ้าคัดลอกหรือปรับเปลี่ยนโครงงานจากผู้อื่นโดยไม่ได้ทำจริง ให้ปรับตก แต่ถ้านำหัวเรื่องคนอื่นมาทำเองให้ ๑ คะแนน ถ้าครูและเด็กริเริ่มขึ้น ให้ ๒ คะแนน  แต่ถ้าเป็นโครงงานที่แปลกใหม่จริงๆ ให้ ๓ คะแนน

ข้อนี้ผมให้ ๑ คะแนน ครับ  เป็นการนำหัวเรื่องที่มีอยู่ทั่วไปในมาทดลองทำ 

สรุปผลการประเมิน 

สรุป ทั้ง ๘ ข้อ โครงงานนี้ได้คะแนนรวม  ๑๕ คะแนน  ผ่านเกณฑ์ประเมิน เหมาะสมที่ได้รับตราพระราชทานครับ 


ผมจะสรุปคอมเมนต์ไว้เป็นภาพรวมของทั้ง ๗ โรงเรียน ในบันทึกต่อไปนะครับ
จบเท่านี้ครับ ... สู้ครับ