วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

PLC อบจ. ขอนแก่น : ครูภาษาไทยแก้ปัญหา "อ่าน-เขียนไม่คล่อง"

วันที่ ๔ ก.ย. ๒๕๕๙ ผมรับเชิญจากอาจารย์ ศน.เทวา ตั้งวานิชกพงษ์ ศึกษานิเทศก์ หัวหน้ากลุ่มงานนิเทศฯ ของ สำนักการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดของแก่น ความเป็นมาคือ รศ.ดร.เชาวลิต ชูกำแพง  (นักวิจัย IRES, กรรมการ กศจ.) แนะนำท่านว่า หากเป็นเรื่องการแก้ปัญหาการอ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ ให้เรียนเชิญ ครูตุ๋ม ศิริลักษณ์ ชมภูคำ เป็นวิทยากร ครูตุ๋มจึงแนะนำผมให้ได้มีโอกาสมาร่วมด้วยอีกทีหนึ่ง ซึ่งผมเองก็รู้จักท่าน ศน.เทว รู้จักกันดีกับ ดร.นงเยาว์ ศึกษานิเทศก์มือดีของ อบจ.มหาสารคาม  ... โดยสรุป เครือข่าย PLC มีอยู่แล้วทุกที่ทุกระดับ เพียงแต่ใครจะเป็นกลไกขับเคลื่อนให้มีพลังจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวนักเรียนได้จริง 

กระบวนการเรียนรู้ใน "วง PLC" ครั้งนี้ แบ่งเป็น ๓ ตอน ๔ ช่วง คือ BAR ก่อนเบรคเช้า -> Share BP ก่อนและหลังข้าวเที่ยง -> และ AAR ตกลงกันว่าจะนำมาปฏิบัติอย่างไร ในช่วงท้าย  โดยผมทำหน้าที่เป็นกระบวนกรนำคุย ระดมปัญหา กำหนดเป้าหมาย BAR และเชื่อมโยงให้เห็นวิธีการและความสำเร็จของ BP ครูตุ๋ม

ผมสังเกตว่า ครูภาษาไทยที่มาร่วมในวันนี้ทั้ง ๑๙ ท่าน มีความสนิทสนมกันดี มีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วม (shared vision) ที่จะแก้ปัญหาเรื่องการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง อยู่แล้ว และน่าจะเกิดขึ้นเพราะมีโครงการแก้ปัญหานี้ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง ครูหลายคนพูดถึง "ค่าย" สะท้อนว่า ค่ายพัฒนาหรือค่ายแก้ปัญหานี้ ซึ่งจัดขึ้นในปีที่แล้วได้ผลดี และมีการส่งเสริมต่อเนื่องให้ทำ "ค่าย" ต่อในปีนี้อีก และกลุ่มเป้าหมายเป็นครูท่านเดิม (อันนี้สำคัญมาก... ความต่อเนื่องเป็นเรื่องสำคัญ ที่ทำให้ BP ของครูตุ๋ม สำเร็จสัมฤทธิ์ผล)

ผลการระดมปัญหา (แทนการแนะนำตัว)  สะท้อนว่า การออกไปประเมินคัดกรองนักเรียนด้วยตนเองของทีม ศน.อบจ. ได้ผลชัดเจน ครูทุกโรงเรียนสามารถระบุจำนวนนักเรียนเป้าหมายและลักษณะของปัญหาได้อย่างมั่นใจ ที่น่าสนใจคือ คุณครูหลายท่านบอกความสำเร็จของตนเองอย่างภูมิใจ ผมมั่นใจว่า BP ของแต่ละครูแต่ละท่าน หากนำมาแบ่งปันกันในวง PLC จะมีประโยชน์ยิ่ง เช่น ท่านหนึ่งเริ่มแก้ปัญหาจากกิจกรรมสิ่งที่เด็กชอบทำ  ท่านหนึ่งบอกว่าที่โรงเรียนแบ่งนักเรียนเป้าหมายให้ครูทุกคนรับผิดชอบ ท่านหนึ่งบอกว่านำเอา "ครูอัตราจ้างและนิสิตฝึกสอน" มาช่วยเป็นต้น





การสอนคิดวิเคราะห์ในกระบวนการ ๖ ขั้น

ผมเคยถอดบทเรียน กระบวนการ ๖ ขั้นเพื่อแก้พัฒนาให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้ของครูตุ๋ม ไว้ที่นี่ และวาดรูปเป็นผังดังภาพด้านล่าง


และต่อมา อ.หมิม ได้นำมาสร้างสรรค์ไว้ในผลงานอัน "งาม" ดังภาพ



ปัจจัยของความสำเร็จของโมเดลนี้คือ ความง่าย เรียงจากง่ายไปยาก เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวของเด็ก จากสิ่งจำเป็นไปสู่จินตนาการ  แต่การนำไปใช้ให้ได้ผลคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องมีเงื่อนไขที่ต้องใช้ "ครูเพื่อศิษย์" และ "ความต่อเนื่อง" "ยาวนาน"


จากเวที PLC ครั้งนี้ ผมได้มีโอกาสร่วมสังเกตการอบรมเชิงปฏิบัติ ในขั้นตอนการ "พาเรียน" โดยครูตุ๋มสมมติครูทุกท่านเป็นนักเรียน ให้ทดลองลงมือเขียนเรียนจากใบงาน ทีละเล่มๆ ทั้ง ๖ เล่ม เริ่มจาก อักษรไทย -> สระแท้ -> สระประสม -> สระเกิน -> อ่านนิทาน -> อ่านหนังสือในบทเรียน โดยประยุกต์ใช้กระบวนการ ๖ ขั้นไว้ในแต่ละเล่ม ซึ่งจะเน้นเติมเต็มแต่ละสิ่งให้นักเรียน ด้วยการดูแลแบบตัวต่อตัวจากพี่จิตอาสา ... ผมสังเกตว่า กระบวนการแต่ละขั้นได้สอดแทรกให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด" ไว้อย่างแยบยล  เป็นการปูความคิดวิเคราะห์และคิดสร้างสรรค์ไว้ในนั้นอยู่แล้ว....

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคู่มือนักเรียนจิตอาสา ที่ครูตุ๋มพัฒนาขึ้น นักเรียนจิตอาสาจะค่อยๆ พาน้องนักเรียน ทำกิจกรรมตามขั้นตอนลงในสมุดไปตามลำดับ ...
  • เริ่มด้วยการให้นักเรียน เขียน แผนผังความคิด (แบบระดมสมอง) นี่เป็นการฝึกคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และเติมทักษะการคิดวิเคราะห์แบบหลักการให้โดยไม่รู้ตัว 
 

  • เขียนตามคำบอก

  •  คัดไทย ฝึกสมาธิ ความอดทน และกล้ามเนื้อมัดเล็ก

  •  วาดรูป -> เขียนคำ -> จำแนกคำ  ฝึกคิดวิเคราะห์แบบแยกแยะองค์ประกอบ

  • แต่งประโยค แต่งประโยคจากภาพ คิดวิเคราะห์เชื่อมโยง คิดสร้างสรรค์ จินตนาการ 

  •  เขียนอิสระ   เป็นการแต่งเรื่องราว เป็นการฝึกคิดสร้างเรื่อง วิเคราะห์และสังเคราะห์ความสัมพันธ์ จากภาพสู่เรื่องราว จากเรื่องราวสู่จินตนการสู่ภาพเหตุการณ์

ความจริงแล้วเราตีความอย่างไรก็ได้  เพราะการเรียนรู้นั้นมาจากเพียง ๓ ทาง ดังคำสอนพระพุทธเจ้า ว่า เราเรียนจากการฟัง (จดจำ จากคนอื่น) เรียนจากการคิด และเรียนจากการลงมือทำเอง ....

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หลักสูตร 3PBL 4.0

กิจกรรมวันที่สองของเวที PLC ครูเพื่อศิษย์อีสาน ประจำปี ๒๕๕๙ (๒๒-๒๓ กรกฎาคม) เราให้ความสำคัญกับการยกระดับกระบวนการเรียนรู้ไปสู่ "3PBL 4.0" หลังจากที่เราได้ทำ AAR กันว่า หลักสูตร 3PBL ที่ดำเนินกันมานั้น ดูเหมือนจะไม่ได้กำหนดเน้นเรื่องการสร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน  ทำให้ไม่มี "ชิ้นงาน" ไปร่วมการประกวดต่าง ๆ ตามกระแสขับเคลื่อนการศึกษาของเมืองไทยตอนนี้ ที่มุ่งให้ผลงานและรางวัล ซึ่งการพิจารณาทุนการศึกษาและการคัดเลือกคนเข้ามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ก็(ดันไป)ให้ความสำคัญกับรางวัลเสียด้วย ... อย่างไรก็ตาม การเน้นเรื่องทักษะการคิดสร้างสรรค์และการสร้างนวัตกรรมเพื่อให้แก้ปัญหาได้จริงๆ ถือเป็นสิ่งที่่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในศตวรรษใหม่ที่ ๒๑ นี้

"วง PLC" จะยกระดับความรู้และประสบการณ์ได้ดี นอกจากการต้องมีการ "ลงมือปฏิบัติ" แล้ว สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ต้องมีใครสักคนใน "วง" นำความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ ๆ หรืออาจได้มาจากการอ่าน การไปฝึกอบรมพัฒนา หรือมีผู้ทรงคุณวุฒิ มีผู้เชี่ยวชาญเข้ามากระตุ้นให้ความเห็น เป็นต้น ... เช่นเดียวกับการยกระดับกระบวนการของ "PLC ครูเพื่อศิษย์อีสาน" ในครั้งนี้  ที่คุณครูเพ็ญศรี ใจกล้า เสนอว่า เราต้องพาเด็กนักเรียนไปให้ถึง "ทักษะการสร้างนวัตกรรม" และครูศิริลักษณ์ ชมพูคำ ที่เรารบกวนท่านมาเล่าให้ฟังว่า จะสามารถนำเอาผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของตน ไปทำ "ผลงานทางวิชาการ" เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพได้ ... บันทึกนี้จะมุ่งเล่าให้ผู้อ่านฟังว่า 3PBL 4.0 ที่เราได้เรียนรู้จากครูเพ็ญศรี ใจกล้า นั้นเป็นอย่างไร

ทำไมเรียก 4.0

ผู้อ่านที่ชื่นชอบเทคโนโลยี อาจจะคุ้นกับคำว่า 4G ที่ย่อมาจาก 4th Generation หรือยุคที่ ๔ ของการสื่อสารผ่านอุปกรณ์มือถือ ที่เปลี่ยนแปลงรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
  • 1G พูดได้ทีละคน พูดพร้อมกันไม่ได้  ให้นึกถึงวิทยุสื่อสารไงครับ  เวลาจะพูดต้องกดปุ่ม พูดเสร็จต้องวางปุ่ม
  • 2G พูดพร้อมกันได้ คุยโต้ตอบได้เลย ไม่ต้องกดปุ่มใดๆ ส่งข้อความได้ด้วย ก็คือโทรศัพท์มือถือรุ่นแรก รุ่นกระดูกหมาไงครับ
  • 3G นอกจากคุยโต้ตอบได้ ส่งข้อความได้ ยังสามารถส่งไฟล์รูปภาพ ส่งไฟล์เสียง ไฟล์วีดีโอ ได้ด้วย เพราะยุคนี้สามารถส่งข้อมูลได้มากและรวดเร็ว ....  แน่นอนครับ "กินเงิน" เราเร็วด้วย .... 
  • 4G ใครที่มีโทรศัพท์ยุคนี้ สามารถคุยกันแบบเห็นหน้า หรือที่เรียกว่า "วีดีโอคอล" ได้เลยครับ นอก
แต่สำหรับผู้อ่านทั่วไปที่ไม่ค่อยสันทัดเทคโนโลยี ท่านคงจะได้ยินคำว่า "ไทยแลนด์ 4.0" จากรัฐบาลเมื่อไม่นานมานี้เอง  (อ่านได้ที่นี่)  เป็นการแบ่งการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศออกเป็น ๔ ยุค ได้แก่
  • ไทยแลนด์ 1.0  คือยุคภาคเกษตร
  • ไทยแลนด์ 2.0  คือยุคอุตสาหกรรมเบา เช่น ทอผ้า อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ 
  • ไทยแลนด์ 3.0  คือยุคอุตสาหกรรมหนัก เช่น รถยนต์ เหล็ก ปูน ฯลฯ 
  • ไทยแลนด์ 4.0  คือยุคแห่งนวัตกรรม
เป็นความพยายามที่จะพาประเทศให้หลุดออกจาก "กับดักประเทศผู้มีรายได้ปานกลาง" ที่เน้นการผลิต (ต้องพูดว่ารับจ้างผลิต) ไปสู่ Value Based Economy เน้นเรื่องเพิ่มมูลค่า คุณค่า ด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ อ่านบันทึกสรุปการสืบค้นและสังเคราะห์ความได้ที่นี่ 

คุณครูเพ็ญศรีสรุปว่า ยุค ๔.๐ นั้น ผู้เรียนเปลี่ยน สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี สังคม กฎหมาย ทุกอย่างเปลี่ยน ดังนั้นการเตรียมคนสำหรับยุคนี้จึงต้องเปลี่ยนด้วย ... ผมจึงตั้งชื่อหลักสูตรเป็น "3PBL 4.0"  ด้วยเหตุประการนั้น เพื่อให้ทันสมัยและนโยบาย สื่อสารกันได้ง่ายขึ้น...

หลักสูตร 3PBL 4.0

โดยหลักการ กระบวนการ และวิธีการนั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่สิ่งที่เน้นย้ำมาก ๆ มากจนทำให้ 3PBL ----> กลายเป็น "3PBL 4.0" (แบบก้าวกระโดดข้าม 1.0 2.0 3.0) ก็คือ "ความคิดสร้างสรรค์" (Creative Thinking) ผ่านการเรียนรู้ที่เน้นสร้าง "ชิ้นงาน" ที่เป็น "นวัตกรรม" ทำเอง 


(Cr. เพ็ญศรี ใจกล้า)


ครูเพ็ญศรี เน้นในกล่องข้อวามสีชมพูว่า  ความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่พรสวรรค์ สามารถฝึกกันได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นคำของ ศาสตราจารย์ กิลฟอร์ด (Guilford) นักจิตวิทยาชาวอเมริกา ซึ่งเสนอมาไว้ตั้งแต่ 1967 หรือ สี่สิบกว่าปีที่แล้ว (อ่านเรื่องนี้จากบันทึกของครูแอ๋มได้ที่นี่) และยกเอาทฤษฎีการคิดสร้างสรรค์ เกี่ยวกับ องค์ประกอบและประเภทของความคิดสร้างสรรค์ มาเล่าให้เพื่อนครูได้ทบทวนกัน ดังนี้ว่า

  • ความคิดสร้างสรรค์ มี ๔ องค์ประกอบได้แก่ คิดละเอียดละออ (Elaboration) คิดริเริ่ม (Originality) คิดยืนหยุ่น (Flexibility) และ คิดคล่อง (Fluency) 
  • ประเภทของความคิดสร้างสรรค์หรือระดับของการสรรค์สร้าง มี ๔ ระดับ ได้แก่ ระดับลอกเลียน (Duplicate) ระดับต่อเนื่อง (ต่อยอด ขยาย Extension) ระดับสังเคราะห์ (Synthesis) และระดับสร้างนวัตกรรม (Innovation) 
โดยสิ่งที่เราต้องเปลี่ยนก็คือ ครูต้องเรียนรู้และให้ความสำคัญเรื่องนี้ แล้วใช้วิธีอำนวยการเรียนรู้ไปสู่จุดนั้น

กิจกรรมส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์

โจทย์ของครูคือ ทำอย่างไรจะฝึกให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์และมีประสบการณ์มากพอที่จะสร้างนวัตกรรมอันสามารถนำไปใช้ได้จริง  ต่อไปนี้เป็นกิจกรรมตัวอย่างของการออกแบบกิจกรรมนำให้นักเรียนได้ฝึกความคิดสร้างสรรค์ และสร้างนวัตกรรมในความคิด ... ผมจับหลักจากคำอธิบายของครูเพ็ญศรี ๓ อย่างคือ
  • ให้แยกความคิดหริอจิตนาการ ออกจากความเป็นจริงในการนำไปใช้งาน  ...  คือ บอกนักเรียนให้ใช้จิตนาการได้เต็มที่  โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใด ๆ  
  • กำหนด "ชนวนคิด" (ผมตั้งชื่อให้เอง...จะได้เข้าใจง่ายครับ) ให้ก่อน เช่น สร้างสถานการณ์ กำหนดอุปกรณ์ หรือ กำหนดเงื่อนไข ให้เป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม 
  • ให้คิดเป็นกลุ่ม ให้เด็ก ๆ คิดเป็นกลุ่ม โดยใช้กระดาษฟลิบชาร์ท และเขียนสรุปความคิดสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมของกลุ่มเป็นรูปภาพ ก่อนจะให้นำเสนอไอเดียหน้าชั้นเรียน 
หลังจากละลายพฤติกรรมด้วยกิจกรรม Brain Gym และกิจกรรมจิตศึกษา แต่ละกลุ่ม (กลุ่มละ ๔-๕ คน) ได้รับแจกซองสีน้ำตาล เมื่อเปิดผนึก พบว่าอุปกรณ์ที่ได้มาแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม  ครูเพ็ญศรี ให้เวลาประมาณ ๑๕ นาที เขียนไอเดียสร้างสรรค์ลงในฟลิบชาร์ท และหลังจากนำเสนอ ให้ผมเป็นผู้เริ่มประเมินระดับความคิดสร้างสรรค์ด้วย

กลุ่มที่ ๑ ฟองน้ำ

อุปกรณ์ที่ได้คือ ฟองน้ำสีน้ำตาลเล็ก (เป็นชิ้นส่วนสก๊อตไบรท์ อันเล็กๆ)  ... หากเป็นผู้อ่าน จะสร้างนวัตกรรมอะไรจากสิ่งที่ได้นี้ ...


นวัตกรรม ของกลุ่มนี้คือ ที่นอนแห่งศตวรรษที่ ๒๑ "เตียงนอนแคปซูล" เวลาจะไปค่ายในป่าหรือไปท่องเที่ยวที่ไหน ไม่ต้องมัวยุ่งยากกับการเตรียมที่นอนและแบกหนักไป เพียงแต่มีเม็ดแคปซูลเตียงนอน อันเล็กเท่าเม็ดยา เปิดออกมาเป่าลมกลายเป็นเตียงขนาดใหญ่นอนได้หลายคน  มีปุ่มเปิดระบบนวดอัตโนมัติ และมีุปุ่มเก็บตัวเองกลับเป็นแคปซูลอย่างรวดเร็ว  

ลักษณะการคิดสร้างสรรค์แบบนี้ น่าจะอยู่ในระดับ สังเคราะห์-ลอกเลียน  คือ วิเคราะห์ก่อนว่าฟองน้ำและสปริงที่ได้นั้นมีคุณสมบัติของความยึดหยุ่น และวิเคราะห์ว่า ความยืดหยุ่นนั้น เกี่ยวกับอะไรได้บ้าง จะเอาไปใช้อะไรได้บ้าง และคิดถึงเตียงนอนนุ่มๆ ที่ยึดสามารถยึดหดได้จนสามารถเก็บไว้ในลักษณะแคปซูลขนาดเม็ดยา ตัดปัญหาเรื่องการหอบไปมาได้  ส่วนหลังนี้ผมคิดว่าเป็นการ "ลอกเลียน" ไอเดียที่อยู่ทั่วไปในทีวี

กลุ่มที่ ๒ ผ้าฝ้ายและอะลูมิเนียม

กลุ่มนี้ได้อุปกรณ์ในซองปริศนา เป็นเทียนไขกับอะลูมิเนียม  หากเป็นท่านผู้อ่าน จะสร้างชิ้นงานาอะไรครับ??? ...



กลุ่มนี้บอกว่า จะสร้าง "สปาเคลื่อนที่"  โดยเอาข้อดีของอะลูมิเนียมที่แข็งแรงแต่เบา และเอาคุณสมบัติของฝ้าฝ้าย มาใช้ทำเป็นผ้าเช็ดตัว ผ้าปูเตียง ใช้ทำผนัง หลังคา เพราะสามารถระบายความร้อนได้ดี ไม่ระคายผิว ทั้งยังเป็นการส่งเสริมสินค้าพื้นถิ่น ทำให้ชุมชนมีรายได้ ... คิดไปได้ล้ำบนฐานการคิดเพื่อสังคมอีกด้วย

ผมตีความว่า "ไอเดีย" นี้ สร้างสรรค์อยู่ในขั้น สังเคราะห์-ลอกเลียน เช่นกัน  คือนำเอาความรู้เดิมเรื่อง สปา ผ้าฝ้ายขาว และความเบา แข็งแรงของอะลูมิเนียม มาใช้ทำสิ่งที่เคยพบเคยเห็นกันอยู่ทั่วไป  ...

กลุ่มที่ ๓ ฝอนขัดหม้อกับมะขามเปียก

อุปกรณ์ในซองปริศนาของกลุ่มที่ ๓ คือ ฝอยขัดหม้อกับมะขามเปียก ชิ้นงานเป็นการผสานผสมของเนื้อมะขามกับชิ้นส่วนของฝอนขัดหม้อ เป็นสก็อตไบร์ท ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเอนกประสงค์ ทำความสะอาดร่างกาย  เครื่องครัว เครื่องประดับ หรือม้แต่สุขภัณฑ์ 


ชิ้นงานนี้น่าจะอยู่ในขั้น ลอกเลียน-เปลี่ยนแปลง-สังเคราะห์ มะขามยังคงเป็นมะขาม เอาประโยชน์ของเนื้อมะขามมาใช้โดยตรง ผสมกับฝอยโลหะยังคงความเป็นโลหะอยู่  สังเคราะห์รวมเอาคุณสมบัติการใช้งานของสองสิ่งมาไว้ด้วยกัน

กลุ่มที่ ๔ แผ่นพลาสติก

อุปกรณ์ที่ได้รับคือ แผ่นพลาสติก ชิ้นงานเป็น "เสื้อมหัศจรรย์" (Magic Shirt) มีความแข็งแรง ทำความสะอาดตนเองได้ ปรับอุณหภูมิภายในได้ ทนความรู้จากภายนอกสูง ฯลฯ


"ไอเดีย" นี้ก็เป็นแบบ สังเคราะห์-ลอกเลียน สังเคราะห์หมายถึง สังเคราะห์เอาคุณลักษณะของพลาสติกมาใช้ ส่วนคำว่าลอกเลียนคือ เอามาทำสิ่งที่เรามีกันอยู่ทั่วไปคือ เสื้อ

ข้อสังเกต

ผม AAR  ว่าตนเองได้เรียนรู้มากจากกิจกรรมที่ครูเพ็ญศรี ใจกล้า และครูสุกัญญา มะลิวัลย์ นำมาแลกเปลี่ยนในวันนี้  เกิดแรงบันดาลใจ เกิดความมั่นใจให้พลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก  ผมจับความว่า 3PBL 4.0 นั้น นอกจากจะเราจะต้องจัดกิจกรรมไปให้ถึง "นักเรียนเรียนรู้เองจากการลงมือทำ" แล้ว ยังต้องอำนวยให้พวกเขาได้ฝึก "คิดสร้างสรรค์" และสร้างชิ้นงานที่เป็น "นวัตกรรม" ให้ได้

ผมตีความว่า การศึกษาในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นการสร้างสังคมฐานความรู้  เพราะสังคมฐานความรู้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วประสบความสำเร็จอย่างไร นวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนแต่เกิดจากองค์ความรู้ที่พัฒนาไป  ใครเป็นเจ้าของความรู้จะก้าวไปสู่ความเป็นเจ้าของนวัตกรรม ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าและคุณค่าให้กับตนเองและประเทศได้มหาศาล

สังเกตว่าเราจะสร้างนวัตกรรมบนฐาน "ความรู้เดิม" ทั้งหมด ดังนั้น หากความรู้เดิมไม่ใหม่ เรามักจะไม่ได้นวัตกรรใหม่  สิ่งที่ได้จะอยู่ที่ ลอกเรียน - สังเคราะห์ - เปลี่ยนแปลง ต่อยอด เท่านั้น ยังไม่ไม่ถึง "นวัตกรรมใหม่" ที่แท้จริง  

หลังจากการนำเสนอของเรา ครูเพ็ญศรี ได้นำเอาตัวอย่างนวัตกรรมต่างๆ มาเล่าให้ฟัง ดังนี้ครับ ... น่าสนใจมาก


  (สไลด์ ครูเพ็ญศรี ใจกล้า)  เครื่องช่วยเดิน  เป็นการต่อยอดจากนวัตกรรมที่เขาเป็นเจ้าของ บนฐานความรู้และนวัตกรรมของเขา

(สไลด์ ครูเพ็ญศรี ใจกล้า) ที่จอดรถที่สามารถชาร์ทไฟให้รถไฟฟ้าได้ ... เช่นเดียวกัน... เป็นการต่อยอดจากนวัตกรรมเรื่องรถไฟฟ้า แบตเตอรรี่ ... ซึ่งหากเราไม่ใช่เจ้าของ เราก็สร้างนวัตกรรมต่อยอดแบบนี้ไม่ได้
 (สไลด์ ครูเพ็ญศรี ใจกล้า)  ชิปซิมที่โทรศัพท์ไปได้ทั่วโลก ... เป็นนวัตกรรมบนฐานความรู้เรื่องอิเล็คทรอนิกส์และไอซีที  ซึ่งไม่มีฐานความรู้นี้ในโรงเรียน

  (สไลด์ ครูเพ็ญศรี ใจกล้า) ปริ๊นเตอร์ดินสออันนี้ ถือเป็น "นวัตกรรม" ที่แท้จริงครับ ... ต้องบอกว่า "ใช่เลย!!!"  ทั้งคนคิดคนทำ และน่าจะสามารถนำไปใช้ได้จริง ทำขึ้นได้จริง ... แน่นอนว่า ต้องมีฐานเทคโนโลยีเดิมมาก่อน ...

(สไลด์ ครูเพ็ญศรี ใจกล้า) สายรัดข้อมูลนี้ ถือเป็นวัตกรรมต่อยอด ที่ใช้ความรู้ทางฟิสิกส์และอิเล็คทรอนิกส์ 
(สไลด์ ครูเพ็ญศรี ใจกล้า) รถไม่มีคนับแบบนี้ มาแน่ในทุก ๆ ประเทศในอนาคตอันใกล้ เพราะเท่าที่ทราบ ประเทศฟิลแลนด์ ประกาศเป็นนโยบายแล้วว่า  2025 จะนำมาแทนรถยนต์ส่วนใหญ่ในประเทศ  ... ฟิลแลนด์มีประชากร ๘ ล้าน ได้รับการยอมรับว่ามีระบบการศึกษาดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก


(สไลด์ ครูเพ็ญศรี ใจกล้า) สิ่งต่อไปนี้ถือเป็น "ไอเดีย" นวัตกรรม ที่นำเอาสิ่งที่มีอยู่ง่าย ๆ มาประดิษฐ์  เป็นตัวอย่างของการคิดสร้างสรรค์แบบ "คิดละเอียดละออ" และนำเอาสิ่งที่มีอยู่มาต่อยอด ... น่าจะเป็นตัวอย่างของ "ชิ้นงาน" ที่ทำในโรงเรียนได้







ขอขอบคุณคุณอาเพ็ญศรี ใจกล้า ที่ได้นำพาครูเพื่อศิษย์อีสาน ให้ผ่านมาจนถึงจุดนี้ ...  ผมพยายามศึกษาและสังเกตว่า ทำไมท่านถึงได้รับการยอมรับจากลูกศิษย์และเพื่อนครู  ... หากผู้อำนวยการและผู้บริหารโรงเรียนในจังหวัดมหาสารคาม ให้ความสำคัญมากขึ้น โมเดลการสอน IS 1, 2,3  ของโรงเรียนเชียงยืน จะเป็นต้นแบบของการเรียนการสอนในศตวรรษใหม่สำหรับประเทศไทยที่แท้จริง ....

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีการถอดบทเรียนให้เห็น "คุณค่า" และ "ปัญญาปฏิบัติ"

ในการทำเวที PLC กับ คุณครูเพื่อศิษย์อีสานคราวนี้ (๒๒-๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙) ผมผุดไอเดียกับตนเองว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานหนุนเสริมครูฯ คือ ทำอย่างไรให้ครูเพื่อศิษย์สามารถถอดบทเรียนตนเองได้ ในระดับที่ทั้งตนและคนอื่นเห็น "คุณค่า" และ "ปัญญาปฏิบัติ" .... ผมขอเสนอหลักคิดและวิธีปฏิบัติในการถอดบทเรียนตนเอง ดังนี้ครับ

ถอดบทเรียนกระบวนการ วิธีการ (ปัญญาปฏิบัติ)

๑) ให้ครูเพื่อศิษย์ เขียนประสบการณ์ที่ตนเองภาคภูมิใจในการเป็นครู ลงบนกระดาษให้มากที่สุด  เขียนเป็นชื่อเรื่องสั้นๆ เช่น การแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก การแก้ปัญหาเด็กเกเร การสอนวิชาคณิตคิดสร้างสรรค์  หรือเขียนอย่างไรก็ได้ (ไม่ตายตัว ไม่มีผิดถูก) เช่น ครูอาจเขียนว่า ประสบการณ์เกี่ยวกับเด็กชายแดง กิจกรรมค่ายลูกเสือ ... อย่างนี้ก็ได้

๒) ให้ครูเพื่อศิษย์ เลือกความสำเร็จที่ภูมิใจที่สุดในชีวิตความเป็นครู ความภูมิใจที่สุดอาจมีหลายสิ่งหลายอย่าง ให้เลือกเอาสิ่ง ให้เลือกเอาสิ่งที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนที่มีองค์ประกอบเหล่านี้ชัดเจน

  • เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นแล้ว ทำให้ครูมีความสุข 
  • เป็นเรื่องที่อยากจะบอกเล่าขยายต่อไป ให้ใครๆ รู้  และนำไปทำบ้าง 
  • ลูกศิษย์ได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้นจริง มีผลลัพธ์เชิงประจักษ์เกิดขึ้นจริง
  • ครูได้ลงมือปฏิบัติสิ่งนั้นๆ ด้วยตนเอง อาจเป็นสิ่งที่ครูคิดขึ้นเองหรือต่อยอดมาจากสิ่งที่ได้เรียนรู้จากผู้อื่นก็ได้
  • ครูสามารถเล่าให้คนอื่นฟังได้ว่า เริ่มอย่างไร ทำอย่างไร และรู้ได้อย่างไรว่าได้ผล
๓)  ให้ครูเพื่อศิษย์ เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ (ตามใจของผู้เล่า ไม่คาดคั้นหรือตั้งคำถาม ไม่ถามแทรก ให้ได้รายละเอียดในรอบแรก เว้นแต่ผู้เล่าเล่าเรื่องเองไม่ได้)  ผู้ถอดบทเรียนหรือผู้ฟัง คอยจับประเด็นวิธีการ (How to) ว่า ครูเพื่อศิษย์ทำอะไรก่อนหลัง ตั้งแต่ต้นจน อาจจะใช้เครื่องมือ ไทม์ไลน์ หรือใช้ลูกสอน ก็ได้

๔) ผู้ถอดบทเรียน เล่าเรื่องที่จับใจความได้ ให้ครูเพื่อศิษย์เจ้าของ BP (ฺBest Practice หรือ ปัญญาปฏิบัติ) ฟังอย่างเป็นลำดับขั้นตอน  และคอยถามเป็นระยะว่า  "....ผมเข้าใจถูกไหมครับ?..." จากนั้น ตั้งคำถามเพื่อให้ครูเพื่อศิษย์เล่าซ้ำหรือละเอียดขึ้นในส่วนที่สำคัญ ๆ

๕) นำเอาขั้นตอนเหล่านั้นมาวาดเป็นแผนภาพ  ก่อนจะตั้งชื่อโมเดล และเขียนคำอธิบายอีกครั้ง

หากทำได้ดี ผู้อื่นที่ได้อ่านผลการถอดบทเรียนจะสามารถนำปฏิบัติได้ไม่มากก็ไม่น้อย  สิ่งที่ตกผลึกจากการปฏิบัติ ที่มักเรียกว่า "แนวปฏิบัติที่ดี" หรือ BP นี้ คนทำงานเรื่องจัดการความรู้ เราเรียกว่า "ปัญญาปฏิบัติ" นั่นเองครับ

ถอดบทเรียนปัจจัยแห่งความสำเร็จ

หลักจากถอดบทเรียนกระบวนการเสร็จเรียบร้อยแล้ว  คำถามบังคับ ที่ต้องถามครูเพื่อศิษย์คือ  "... ท่านคิดว่าอะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จของท่าน ... "  แนะนำให้จับประเด็นเป็นข้อ ๆ  ออกมาก่อน แล้วเรียงลำดับความสำคัญจากมากไปหาน้อย

หลังจากได้ปัจจัยของความสำเร็จแล้ว ให้ตั้งคำถาม "ทวน" กับครูผู้เล่าเรื่องว่า  "... หากไม่มีปัจจัยข้อใด จะทำไม่สำเร็จเลย... "  คำตอบของครู คือปัจจัยแห่งความสำเร็จที่แท้จริง

ส่วนใหญ่ ปัจจัยแห่งความสำเร็จอาจแบ่งออก ๒ ส่วน คือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก  ปัจจัยภายในน่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า "คุณลักษณะ" ของครูเพื่อศิษย์ เช่น เป็นคนขยัน มีเมตตากรุณา มีจิตวิญญาณความเป็นครู เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้  ฯลฯ  

ถอดบทเรียนให้เห็น "คุณค่า" 

คำถามคือ "... อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่ครูทำ?..."  คำตอบที่พบส่วนหนึ่ง เป็น "คุณลักษณะ" ไม่ใช่ "คุณค่า"  เพื่อความเข้าใจตรงกัน และให้ง่ายต่อการถอดบทเรียนให้เห็น "คุณค่า" ของงาน ผมขอเสนอแผนภาพพิจารณาด้านล่าง



ขอเสนอวิธีการถอดบทเรียน "คุณค่า" ดังนี้

๑) ให้ถามครูว่า "คุณประโยชน์" อะไรบ้าง ที่เกิดจาก BP นั้น  ให้เขียนออกมาให้มากที่สุด

๒) ให้พิจารณาจัดหมวดหมู่ "คุณประโยชน์" เหล่านั้นว่า เป็นประโยชน์สำหรับใคร ต่อนักเรียน ต่อผู้ปกครอง ต่อเพื่อนครู และต่อสังคม หรือไม่ อย่างไร และตั้งคำถามให้ได้ขยายกรอบหรือรายละเอียดได้อีก เช่น  "...ไมีประโยชน์กับใครอีกไหม นอกจากนี้?..."  "...นอกจากข้อเหล่านี้แล้ว ประโยชน์สำหรับ...... มีอีกไหม?..." เป็นต้น

๓) ให้พิจารณาว่า "คุณประโยชน์" ในแต่ละข้อนั้น ข้อใดเป็น "ผลลัพธ์" ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่ดีขึ้น ซึ่งอาจแบ่งพิจารณาจัดเป็น ๓ หมวด ได้แก่
  • ทำให้ "เก่งขึ้น"  คือ ทำให้มีความสามารถหรือมีทักษะมากขึ้น  เช่น อ่านออก เขียนได้ แต่งกลอนได้ดีเยี่ยม เป็นต้น 
  • ทำให้ "ดีขึ้น" คือ ทำให้เป็น "คนดี" มากขึ้น มีคุณลักษณะนิสัย มีพฤติกรรมดีขึ้น  เช่น  ทำให้นักเรียน เป็นผู้มีมารยาทเรียบร้อย ขยัน ประหยัด มีวัย ฯลฯ 
  • ทำให้ "มีความสุข"  คือ งานของครูทำให้ผู้ได้รับประโยชน์ มีความสุขมากขึ้น โดยเฉพาะ การเปลี่ยนทัศนคติ (เจตคติ) จากอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง จากไม่ถูกต้องเป็นทัศนคติที่ถูกต้อง  จากทัศนคติด้านลบเป็นด้านบวก เช่น  ทำให้เป็นคนรักเรียน  เห็นคุณค่าของตนเอง ฯลฯ 
๔) ให้คิดหาคำสำคัญที่รวมความหมาย (ประเด็น) ของคุณประโยชน์เหล่านั้น ....  จะสามารถสื่อสารได้ว่า อะไรคือ "คุณค่า" ของงานครูเพื่อศิษย์ 

บันทึกต่อ ๆ ไป  ผมจะลองแสดงตัวอย่าง การถอดบทเรียน "คุณค่า"  เพื่อเป็นการบูชาคุณครูเพื่อศิษย์ครับ

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขับเคลื่อน PLC มหาสารคาม : เวทีครูพูนพลังครู (อีสาน) _๐๒ : ครูเพื่อศิษย์ผู้เข้าร่วม

วันที่ ๒๒ - ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙ CADL สำนักศึกษาทั่วไป จัดเวที PLC ครูเพื่อศิษย์อีสานต่อเนื่องเป็นปีที่ ๓ มีผู้เข้าร่วมเกือบ ๓๐ คน เป็นครูเพื่อศิษย์อีสานเข้าร่วมทั้งหมด ๑๙ ท่าน ศึกษานิเทศก์ ๔ ท่าน ทีมงาน CADL ๔ คน และอาจารย์สุจิดา และคุณกอล์ฟ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิสยามกัมมาจล รวมทั้งสิ้น ๒๙ ท่าน ...  ผม AAR กับตนเองว่า เวทีนี้ขยับเข้าใกล้ PLC ที่แท้จริงๆ ไปอีกก้าวใหญ่


ครูเพื่อศิษย์ที่มาร่วมเวทีนี้มีดังนี้
  • ครูเพ็ญศรี ใจกล้า การสอนแบบ 3PBL - Active Citizen Model จาก ร.ร. เชียงยืนพิทยาคม 
  • ครูเพ็ญศรี กานุมาน การสอนแบบ School Resource-based Model จาก ร.ร.นาสีนวนพิทยาสรรพ์
  • ครูศิริลักษณ์ ชมภูคำ การสร้างนักเรียนจิตอาสาด้วยการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ จาก ร.ร. บ้านหินลาด สพป. มค. ๑ 
  • ครูอัจฉราวรรณ ภิบาล การปรับทัศนคติการเรียนภาษาอังกฤษลูกศิษย์ ด้วยการสอนคิดแบบ Active Learning จาก ร.ร. หนองเหล็กศึกษา อบจ. มหาสารคาม
  • ครู ผอ. ไพฑูรย์ แวววงศ์ การสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา แก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
  • ครูสุกัญญา มะลิวัลย์ การนำจิตตปัญญาศึกษาสอนรายวิชาแนะแนว จาก ร.ร.เชียงยืนพิทยาคม
  • ครูจิรนันทร์ จันทยุทธ การสอนแบบอุปนัย และการใช้เงื่อนไขการเรียนนักศึกษาวิชาทหารช่วยนักเรียนอ่อน
  • ครูคเณศ ดวงเพียราช การปลูกฝังความมั่นใจให้นักเรียนปฐมวัย จาก ร.ร.เทศบาลบูรพาพิทยาคาร 
  • ครูภาวนา ดวงเพียราช การสอนแบบ "เพลิน" ในระดับปฐมวัย จาก ร.ร. เทศบาลโพธิ์ศรี เทศบาลเมืองมหาสารคาม
  • ครูจิตลัดดา ภวภูตานนท์  "สอนเด็กสอนชีวิต" จาก ร.ร. บ้านเก่าน้อยหนองเส็งหินลาด สพป.มค.๑ 
  • ครูจันทร์ เพียงดาห์  "กลอนสอนคิด" จาก ร.ร. บ้านหนองคูขาด สพป.มค.๑
  • ครูนิตยา มหาสโร จาก ร.ร. บ้านดอนหว่าน (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ครูนุชนาฎ เกษแก้ว จาก ร.ร. บ้านบรบือ (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ครูสุคนธา ดิษฐ์สุนนท์ จาก ร.ร.ชุมชนบ้านราด (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ครูนริดา ลาดโฮม จาก ร.ร. บ้านโนนราษีฝางวิทยา (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ครูมาลินี ระถี จาก ร.ร. บ้านหมี่เหล่าน้อย (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ครูวชิราภรณ์ ลมงาม จาก ร.ร. บ้านโนนทอง (ยังไม่ได้ถอดบทเรียนท่านด้วยตนเอง) สพป.มค.๑
  • ดร.นุชรัตน์ ประสิทธิศิลป์ชัย ศึกษานิเทศก์ จาก สพป. กส. ๑ 
  • อาจารย์สายรุ้ง น้อยนาจารย์  ศึกษานิเทศก์ จาก สพป. กส. ๑ 
  • ดร.ไชยยา อะการะวัง ศึกษานิเทศก์ สพป. มค. ๑
  • อาจารย์สุรัมภา เพชรกองกุล ศึกษานิเทศก์ สพป. ๑
Cr. อาจารย์หมิม สถาปัตย์ มมส.
























ดูรูปทั้งหมดที่นี่ครับ

บันทึกต่อ ๆ ไป จะมาเล่า BP ของครูเพื่อศิษย์แต่ละท่านให้ฟังครับ