บันทึกที่ ๑
ก่อนจะเริ่มกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ "เทศบาลบ้านวิยท์น้อย" เราตั้งคำถามกับครูที่เคยฝึกอบรมและทดลองนำกิจกรรมการทดลองไปใช้แล้ว ถึงปัญหาที่มักพบหรือปัญหาที่เด็กมักๆ จะถาม โดยให้เขียนลงในกระดาษ พบว่า ปัญหาที่พบคือวัสดุอุปกรณ์ไม่สมบูรณ์ บางอย่างหาซื้อได้ยาก ข้อนี้จะแก้ปัญหาด้วยการจัดซื้อรวมกันทีละมากๆ แล้วแจกไปยังแต่โรงเรียน และบางท่านยังขาดความมั่นใจ วิธีแก้ไขนี้คือครูต้องลองใช้ลองทำบ่อยๆ เท่านั้นครับ มีหลายท่านบอกว่า "เด็กๆ ไม่สงสัยใฝ่รู้" ... เนี่ยล่ะครับหน้าที่ของครูอย่างเราๆ
หมุดลอยน้ำ
การทดลองที่ ๒ เรื่อง "หมุดลอยน้ำ" นี้แม้จะดูเหมือนง่าย แต่ก็ทำให้เด็กสนุกได้ดีมากๆ ข้อเด่นที่สุดคือ ความท้าทายให้เด็กพิสูจน์สมาธิของตนเอง สมมติฐานที่ยอมรับแล้วว่าจริงคือ หากมีสมาธิมากจะ "นิ่งมาก" แล้วจะสามารถทำให้ หมุดหรือลวดหนีบกระดาษ ลอยในน้ำได้ แต่ถ้าสมาธิไม่ดี มือจะ "นิ่งน้อย" จะทำให้ลอยได้ยาก
อุปกรณ์ที่ต้องใช้คือ ชามพลาสติกใส่น้ำ น้ำ หมุดตะปูติดบอร์ด และลวดหนีบกระดาษ ดังภาพ ต้นทุนถูกมาก หาซื้อได้ทั่วไปครับ
ปัญหาคือ จะวางลวดหนีบกระดาษหรือหมุดติดบอร์ดให้ลอยอยู่บนผิวน้ำได้อย่างไร
สิ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรง ที่ประสงค์จะกระตุ้นความสงสัยให้เด็กๆ คือ "ทำไมวัตถุเล็กๆ จึงลอยเหนือผิวน้ำได้" องค์ความรู้เรื่องนี้คือ "แรงตึงผิว" ปรากฎการณ์ที่ผมเห็นสมัยเด็กๆ ที่ครูมักจะนำมายกตัวอย่างคือ จิงโจ้น้ำ หรือ "แมงขโมย" (บ้านผมเรียกอย่างนั้น) ดังรูป ...
(ที่มาของรูป และผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.vcharkarn.com/forum/view?id=16027§ion=forum&ForumReply_page=28)
อย่างที่เน้นย้ำบ่อยๆ ว่า เป้าหมายของเราคือ ทำให้นักเรียนสนุก มีความสุขที่ได้เรียน ดังนั้นกิจกรรม "หมุดและลวดลอยน้ำนี้" ครูจะต้องทดสอบจนแน่ใจก่อนว่า สามารถทำได้ในน้ำที่ใช้จริง เพราะน้ำแต่ละที่จะมีแรงตึงผิดแตกต่างกัน ... วันที่เราทดลอง น้ำประปาที่โรงเรียนเทศบาลบูรพาวิทยาคาร แรงตึงผิวน้อย ทำให้ทำให้ "สำเร็จ" คือลอยได้ยาก
หัวใจคือ ท้าทาย แต่ต้องให้เด็กๆ "ทำได้" เด็กจะได้รู้สึกว่า "ฉันทำได้" เมื่อฉันทำได้ก็จะรู้สึกชอบ เมื่อชอบจึงสนุก เมื่อสนุกเด็กๆ จึงจะมีความสุขกับการเรียนรู้เหตุและผลในเรื่องนั้นๆ ต่อไป
วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558
ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๒๖ : ฝึกอบรมครูอนุบาลบ้านวิทยาศาสตร์น้อย (๑) : การทดลองที่ ๑ "ปลากับเรือดำน้ำ"
วันที่ ๒๕-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ CADL จัดเวที PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และฝึกอบครูอนุบาลบ้านวิทย์น้อยกลุ่มใหม่ ซึ่งยังไม่เคยอบรมที่ไหน รวมกว่า ๖๐ คน จัดที่โรงเรียนเทศบาลบูรพา ใช้เวลาบ่ายของทั้งสองวัน ด้วยเจตนาว่าจะไม่ให้รบกวนการเรียนการสอนของครู
เราคาดการผิดถนัด เพราะผลสะท้อนของครูบอกว่า แทนที่จะมีเวลาอยู่สอนนักเรียนโดยไม่กระทบ แต่พอผู้ปกครองทราบเรื่องว่าจะได้เรียนเพียงครึ่งวัน พลันไม่มีใครส่งลูกมาโรงเรียนเลย บอกว่ารู้สึกไม่คุ้มค่าที่จะเดินทางมา "...นำมาส่งแว๊บเพียวเดี๋ยวต้องรับตอนเที่ยง..." เลยกลายเป็นว่าแทนที่จะได้กลับกลายเป็นเสียไปทั้งสองวัน... ถือเป็นบทเรียนของการทำงานการศึกษาในพื้นที่...
เรา BAR ว่า วิธีการที่จะทำให้ครูนำเอากิจกรรมการทดลองบ้านวิทย์น้อยไปใช้ คือการทำอย่างไรก็ได้ ให้ครูเข้าใจ และประทับใจ ในการทำการทดลองแต่ละอัน ดังนั้น กิจกรรมจึงไม่มีพิธีรีตองใดๆ แม้แต่พิธีเปิด แม้ว่า ท่านอาจารย์ไสว ศึกษานิเทศก์ที่เป็นหัวใจของ PLC มาอยู่กับเราตั้งแต่เริ่ม ภาพด้านล่างนี้ถ่ายตอนจบการฝึกอบรมในวันสุดท้าย AAR จากสีหน้าว่า เราน่าจะบรรลุเป้าหมายนั้น พอสมควร
หลักสูตรการอบรมที่เราใช้ คือหลักสูตรเดิมที่เคยเริ่มไว้ตั้งแต่การอบรมไปเมื่อปีก่อน การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ จึงมุ่งทบทวนความเข้าใจ และขยายผลสู่คนที่ยังไม่เคยทำ เริ่มด้วย "เรือดำน้ำ" "หมุดลอยน้ำ" "เนินน้ำ" "ความลับของสีดำ" "การละลายของน้ำตาล" "จรวดถุงชา" "ขวดดูดน้ำ" "แก้วดูดน้ำ" "การกรอง" ฯลฯ บันทึกนี้คงไม่นำเอาวิธีของแต่ละการทดลองมาเล่า เพราะทำกันมาเยอะแล้ว (อ่านได้ที่นี่ครับ) แต่จะมาว่ากันถึงปัญหาที่ครูมักมีหลังจากนำใช้กับนักเรียน คือ ๑) ครูไม่มั่นใจในตนเอง ๒) ครูสรุปไม่ค่อยใด้ว่าแต่ละการทดลองเกี่ยวข้องกับชีวิตอย่างไร และ ๓) ปัญหาเรื่องโครงงาน ... ดังนี้ โดยกล่าวรวมๆ กัน ทีละการทดลอง ดังนี้ ครับ
เป้าประสงค์ของหลักสูตรบ้านวิทยาศาสตร์น้อยรุ่นที่ ๑ (ผมหมายถึงปีที่ผ่านมา) กำหนดว่ามี ๔ เรื่องของธรรมชาติ คือ น้ำ อากาศ ไฟ และคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งการทำให้เด็กๆ รู้และเข้าใจ จะต้องใช้การทดลองต่างๆ หลากหลาย ซ้ำทวน ไปมา ยกตัวอย่างเช่น ตัวอย่างที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ครับ
เรือดำน้ำ
ดร.แลค (ผศ.ดร.กฤษกร ปาสาไน) นำเข้าสู่กิจกรรมด้วยการตั้งคำถามว่า เวลาปลาจะดำน้ำ มันทำอย่างไรถึงได้มุดลงไปนิ่งอยู่ในน้ำได้โดยไม่ลอยขึ้นมา แล้วนำพาครูลงสู่กิจกรรม ทำไป...ตั้งคำถามไป...
เริ่มจากนำหลอดพลาสติกมาตัดแล้วใส่คลิปหนีบไว้ประมาณภาพนี้ แล้วก็หาวิธีเอาใส่เข้าไปในขวดบรรจุน้ำ แล้วปิดฝาขวดให้แน่น เท่านี้เราก็ได้ "เรือดำน้ำจำลองแล้ว
ความสนุกและท้าทายอยู่ที่ ทำอย่างไร จะเอา "เรือดำน้ำหลอดดูด" เข้าไปไว้ในขวด ให้ลอยอยู่ดับงรูปด้านล่าง
หากเด็กสร้างเรือดำน้ำ ได้ดังรูปแล้ว คำถามแรกน่าจะเริ่งทั้งแต่ "เด็กๆ เห็นอะไร" เพื่อฝึกให้เด็กสร้างคำเพื่อสื่อสารเหตุการณ์ได้ เป็นการฝึก "อธิบาย" ซึ่งถือเป็นทักษะเบื้องต้น ที่จะฝึกฝนไปสู่การ "อภิปราย" ในตอนท้ายต่อไป
ขั้นตอนนี้หากมีเด็กสงสัยแล้วถามว่า " ทำไมมันถึงลอยได้.." แสดงว่าคุณครูบรรลุเป้าหมายแล้วครับ เพราะที่เราทำกิจกรรมทั้งหลายก็เพื่อให้เด็กๆ สงสัย ก่อนจะแก้ความสงสัยด้วยการทดลองดู คุณครูน่าจะยังไม่ควรตอบคำถามหรืออธิบายใดๆ เพียงแต่กระตุ้นให้สังเกต โดยอาจบอกว่า ... " เดี๋ยวครูจะเฉลยตอนท้าย... แต่ตอนนี้ให้ลองสายตา "สังเกตดู" แล้วมาเดาคำตอบกับครู โดยจะบอกให้รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่..." (คำตอบคือ เพราะในหลอดมีอากาศอยู่ข้างในหลอด อากาศเบากว่าน้ำจึงพาให้หลอดที่หนีบคลิปลวดลอยได้)
ตอนต่อมา ... ครูท้าให้เด็กๆ บีบขวด ขวดที่ถูกออกแรงบีบจะมีเนื้อที่ในขวด (ปริมาตร) ลดลง ทำให้แรงดันอากาศเนื่องจากการบีบขวด ไปดันน้ำให้ไหลเข้าไปแทนที่อากาศในหลอดดูด ทำให้ปริมาตรอากาศในหลอดลดลง จนถึงจุดที่รับน้ำหนักไม่ไหว จึงค่อยจมไปสู่ก้นขวด... เมื่อปล่อยมือจากขวด อากาศที่อยู่ในหลอดที่ถูกกักอัดแน่นไม่ได้หายไปไหน ก็จะดันให้น้ำไหลออกมา ทำให้น้ำหนักลดลง จึงลอยกลับมายังผิวน้ำ ... เด็กจะบีบ ปล่อย บีบ ปล่อย ไปเรื่อยๆ ...
อย่างไรก็ดี... การคาดหวังให้เด็กตอบได้แบบที่ผมว่ามา คือปัญหาสำคัญของครู เพราะอย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรก เป้าหมายของเราคือการฝึกทักษะกระบวนการ เช่น สงสัย (มีปัญหา) สังเกต (หาคำตอบ) พยายามตอบ (อธิบาย) ฯลฯ แต่ที่สำคัญต้องให้เด็ก "สนุก มีความสุขที่ได้เรียน" ...
หลักการเดียวกันกับการทดลองนี้ นำไปประยุกต์ในเรือดำน้ำ เรือดำน้ำทำด้วยเหล็ก เช่นเดียวกับเรือทั่วไป วิธีที่จะทำให้เหล็กซึ่งปกติจมน้ำ ลอยน้ำได้ ต้องใช้วิธีกักอากาศไว้ใต้ท้องเรือ ในกรณีของเรือดำน้ำ ถ้าต้องการจะดำน้ำลงลึก กัปตันจะสั่งให้ปล่อยน้ำเข้าเรือ แต่ถ้าต้องการจะลอยขึ้น ก็สูบน้ำออกจากเรือ คล้ายๆ กัน เพียงแต่ไม่ได้ใช้วิธีการบีบ
ปลา
อีกการทดลองหนึ่ง ที่ควรพาเด็กๆ ทำ เพื่อเป็นการซ้ำทวน ความสงสัย หรือย้ำทวนความเข้าใจ (หากได้เฉลยไปแล้ว) คือ การใช้หลอดดูดปิดหัวท้ายด้วยดินน้ำมันด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม ทำให้เหมือน "ถุงลม"ในท้องปลา ทดลองลอยดูในอ่างน้ำเพื่อไม่ให้จมแต่ลอยปริ่มพอดี ดังรูป
แล้วก็ "บีบ....." อย่าลืม...นะครับ พาทำไปด้วย ตั้งคำถามไปด้วย เพื่อเป็นตัวอย่างของการสร้างคำถาม และกระตุ้นให้เกิดความ "สงสัย" และต้องเปิดโอกาสให้ได้ "อธิบาย" ปรากฎการณ์ ด้วยนะครับ
คำอธิบายว่าทำไมปลาถึงจมหรือลอยอยู่ในน้ำได้ตามชอบใจ คำตอบคือ เพราะปลาสามารถควบคุมขนาดของ "ถุงลม" ในท้องได้ตามที่ทันต้องการ หากต้องการลอยขึ้น มันสูดอากาศเข้าไปในถุงลม อากาศเบาจึงพาเอาตัวปลาลอยขึ้น แต่ถ้าหากมันต้องการจะดำลงไปในน้ำ มันจะแฟบถุมลมลง เหมือนกับที่เมื่อเรา "บีบขวด" หลอดพลาสติกก็จะถูกแรงดันอากาศบีบจนลีบ ทำให้ขาดเล็กลง (ปริมาตรเล็กลง) เปรียบเหมือน "ถุงลม" เล็กลง ทำให้จมลงไปเพราะรับน้ำหนักดินน้ำมันไม่ไหว...อากาศในหลอดไม่ได้หายไปไหนนะครับ เพียงแต่ถูกบีดอัดให้มีความหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้นเอง
บันทึกต่อไป มาคุยกันเรื่อง หมุดลอยน้ำครับ ....
ดูรูปทั้งหมดได้ที่นี่ครับ
เราคาดการผิดถนัด เพราะผลสะท้อนของครูบอกว่า แทนที่จะมีเวลาอยู่สอนนักเรียนโดยไม่กระทบ แต่พอผู้ปกครองทราบเรื่องว่าจะได้เรียนเพียงครึ่งวัน พลันไม่มีใครส่งลูกมาโรงเรียนเลย บอกว่ารู้สึกไม่คุ้มค่าที่จะเดินทางมา "...นำมาส่งแว๊บเพียวเดี๋ยวต้องรับตอนเที่ยง..." เลยกลายเป็นว่าแทนที่จะได้กลับกลายเป็นเสียไปทั้งสองวัน... ถือเป็นบทเรียนของการทำงานการศึกษาในพื้นที่...
เรา BAR ว่า วิธีการที่จะทำให้ครูนำเอากิจกรรมการทดลองบ้านวิทย์น้อยไปใช้ คือการทำอย่างไรก็ได้ ให้ครูเข้าใจ และประทับใจ ในการทำการทดลองแต่ละอัน ดังนั้น กิจกรรมจึงไม่มีพิธีรีตองใดๆ แม้แต่พิธีเปิด แม้ว่า ท่านอาจารย์ไสว ศึกษานิเทศก์ที่เป็นหัวใจของ PLC มาอยู่กับเราตั้งแต่เริ่ม ภาพด้านล่างนี้ถ่ายตอนจบการฝึกอบรมในวันสุดท้าย AAR จากสีหน้าว่า เราน่าจะบรรลุเป้าหมายนั้น พอสมควร
หลักสูตรการอบรมที่เราใช้ คือหลักสูตรเดิมที่เคยเริ่มไว้ตั้งแต่การอบรมไปเมื่อปีก่อน การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ จึงมุ่งทบทวนความเข้าใจ และขยายผลสู่คนที่ยังไม่เคยทำ เริ่มด้วย "เรือดำน้ำ" "หมุดลอยน้ำ" "เนินน้ำ" "ความลับของสีดำ" "การละลายของน้ำตาล" "จรวดถุงชา" "ขวดดูดน้ำ" "แก้วดูดน้ำ" "การกรอง" ฯลฯ บันทึกนี้คงไม่นำเอาวิธีของแต่ละการทดลองมาเล่า เพราะทำกันมาเยอะแล้ว (อ่านได้ที่นี่ครับ) แต่จะมาว่ากันถึงปัญหาที่ครูมักมีหลังจากนำใช้กับนักเรียน คือ ๑) ครูไม่มั่นใจในตนเอง ๒) ครูสรุปไม่ค่อยใด้ว่าแต่ละการทดลองเกี่ยวข้องกับชีวิตอย่างไร และ ๓) ปัญหาเรื่องโครงงาน ... ดังนี้ โดยกล่าวรวมๆ กัน ทีละการทดลอง ดังนี้ ครับ
เป้าประสงค์ของหลักสูตรบ้านวิทยาศาสตร์น้อยรุ่นที่ ๑ (ผมหมายถึงปีที่ผ่านมา) กำหนดว่ามี ๔ เรื่องของธรรมชาติ คือ น้ำ อากาศ ไฟ และคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งการทำให้เด็กๆ รู้และเข้าใจ จะต้องใช้การทดลองต่างๆ หลากหลาย ซ้ำทวน ไปมา ยกตัวอย่างเช่น ตัวอย่างที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ครับ
เรือดำน้ำ
ดร.แลค (ผศ.ดร.กฤษกร ปาสาไน) นำเข้าสู่กิจกรรมด้วยการตั้งคำถามว่า เวลาปลาจะดำน้ำ มันทำอย่างไรถึงได้มุดลงไปนิ่งอยู่ในน้ำได้โดยไม่ลอยขึ้นมา แล้วนำพาครูลงสู่กิจกรรม ทำไป...ตั้งคำถามไป...
เริ่มจากนำหลอดพลาสติกมาตัดแล้วใส่คลิปหนีบไว้ประมาณภาพนี้ แล้วก็หาวิธีเอาใส่เข้าไปในขวดบรรจุน้ำ แล้วปิดฝาขวดให้แน่น เท่านี้เราก็ได้ "เรือดำน้ำจำลองแล้ว
ความสนุกและท้าทายอยู่ที่ ทำอย่างไร จะเอา "เรือดำน้ำหลอดดูด" เข้าไปไว้ในขวด ให้ลอยอยู่ดับงรูปด้านล่าง
หากเด็กสร้างเรือดำน้ำ ได้ดังรูปแล้ว คำถามแรกน่าจะเริ่งทั้งแต่ "เด็กๆ เห็นอะไร" เพื่อฝึกให้เด็กสร้างคำเพื่อสื่อสารเหตุการณ์ได้ เป็นการฝึก "อธิบาย" ซึ่งถือเป็นทักษะเบื้องต้น ที่จะฝึกฝนไปสู่การ "อภิปราย" ในตอนท้ายต่อไป
ขั้นตอนนี้หากมีเด็กสงสัยแล้วถามว่า " ทำไมมันถึงลอยได้.." แสดงว่าคุณครูบรรลุเป้าหมายแล้วครับ เพราะที่เราทำกิจกรรมทั้งหลายก็เพื่อให้เด็กๆ สงสัย ก่อนจะแก้ความสงสัยด้วยการทดลองดู คุณครูน่าจะยังไม่ควรตอบคำถามหรืออธิบายใดๆ เพียงแต่กระตุ้นให้สังเกต โดยอาจบอกว่า ... " เดี๋ยวครูจะเฉลยตอนท้าย... แต่ตอนนี้ให้ลองสายตา "สังเกตดู" แล้วมาเดาคำตอบกับครู โดยจะบอกให้รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่..." (คำตอบคือ เพราะในหลอดมีอากาศอยู่ข้างในหลอด อากาศเบากว่าน้ำจึงพาให้หลอดที่หนีบคลิปลวดลอยได้)
ตอนต่อมา ... ครูท้าให้เด็กๆ บีบขวด ขวดที่ถูกออกแรงบีบจะมีเนื้อที่ในขวด (ปริมาตร) ลดลง ทำให้แรงดันอากาศเนื่องจากการบีบขวด ไปดันน้ำให้ไหลเข้าไปแทนที่อากาศในหลอดดูด ทำให้ปริมาตรอากาศในหลอดลดลง จนถึงจุดที่รับน้ำหนักไม่ไหว จึงค่อยจมไปสู่ก้นขวด... เมื่อปล่อยมือจากขวด อากาศที่อยู่ในหลอดที่ถูกกักอัดแน่นไม่ได้หายไปไหน ก็จะดันให้น้ำไหลออกมา ทำให้น้ำหนักลดลง จึงลอยกลับมายังผิวน้ำ ... เด็กจะบีบ ปล่อย บีบ ปล่อย ไปเรื่อยๆ ...
อย่างไรก็ดี... การคาดหวังให้เด็กตอบได้แบบที่ผมว่ามา คือปัญหาสำคัญของครู เพราะอย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรก เป้าหมายของเราคือการฝึกทักษะกระบวนการ เช่น สงสัย (มีปัญหา) สังเกต (หาคำตอบ) พยายามตอบ (อธิบาย) ฯลฯ แต่ที่สำคัญต้องให้เด็ก "สนุก มีความสุขที่ได้เรียน" ...
หลักการเดียวกันกับการทดลองนี้ นำไปประยุกต์ในเรือดำน้ำ เรือดำน้ำทำด้วยเหล็ก เช่นเดียวกับเรือทั่วไป วิธีที่จะทำให้เหล็กซึ่งปกติจมน้ำ ลอยน้ำได้ ต้องใช้วิธีกักอากาศไว้ใต้ท้องเรือ ในกรณีของเรือดำน้ำ ถ้าต้องการจะดำน้ำลงลึก กัปตันจะสั่งให้ปล่อยน้ำเข้าเรือ แต่ถ้าต้องการจะลอยขึ้น ก็สูบน้ำออกจากเรือ คล้ายๆ กัน เพียงแต่ไม่ได้ใช้วิธีการบีบ
ปลา
อีกการทดลองหนึ่ง ที่ควรพาเด็กๆ ทำ เพื่อเป็นการซ้ำทวน ความสงสัย หรือย้ำทวนความเข้าใจ (หากได้เฉลยไปแล้ว) คือ การใช้หลอดดูดปิดหัวท้ายด้วยดินน้ำมันด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม ทำให้เหมือน "ถุงลม"ในท้องปลา ทดลองลอยดูในอ่างน้ำเพื่อไม่ให้จมแต่ลอยปริ่มพอดี ดังรูป
แล้วก็ "บีบ....." อย่าลืม...นะครับ พาทำไปด้วย ตั้งคำถามไปด้วย เพื่อเป็นตัวอย่างของการสร้างคำถาม และกระตุ้นให้เกิดความ "สงสัย" และต้องเปิดโอกาสให้ได้ "อธิบาย" ปรากฎการณ์ ด้วยนะครับ
คำอธิบายว่าทำไมปลาถึงจมหรือลอยอยู่ในน้ำได้ตามชอบใจ คำตอบคือ เพราะปลาสามารถควบคุมขนาดของ "ถุงลม" ในท้องได้ตามที่ทันต้องการ หากต้องการลอยขึ้น มันสูดอากาศเข้าไปในถุงลม อากาศเบาจึงพาเอาตัวปลาลอยขึ้น แต่ถ้าหากมันต้องการจะดำลงไปในน้ำ มันจะแฟบถุมลมลง เหมือนกับที่เมื่อเรา "บีบขวด" หลอดพลาสติกก็จะถูกแรงดันอากาศบีบจนลีบ ทำให้ขาดเล็กลง (ปริมาตรเล็กลง) เปรียบเหมือน "ถุงลม" เล็กลง ทำให้จมลงไปเพราะรับน้ำหนักดินน้ำมันไม่ไหว...อากาศในหลอดไม่ได้หายไปไหนนะครับ เพียงแต่ถูกบีดอัดให้มีความหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้นเอง
บันทึกต่อไป มาคุยกันเรื่อง หมุดลอยน้ำครับ ....
ดูรูปทั้งหมดได้ที่นี่ครับ
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558
ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๒๕ : ตัวอย่างการนำเสนออย่างเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา
วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ CADL ร่วมกับเทศบาลเมืองมหาสารคาม จัดเวที PLC เทศบาลมหาสารคาม เพื่อขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา บันทึกแรกเล่าถึง BAR กับแนวทางการขับเคลื่อนหลักปรัชญาฯ (คลิกอ่านที่นี่)
ผมประทับใจการนำเสนอของคุณครูท่านหนึ่งจากโรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย (คุณครูทองเพชร นางสีคุณ) มากครับ เพราะการนำเสนของท่าน สะท้อนให้เห็นชัดถึงวิธีการนำหลัก ปศพพ. ไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาเกษตรอย่างไร และเน้นให้นักเรียนต้องได้ลงมือทำ
ผมชี้ให้ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเห็นว่า สิ่งที่ท่านนำเสนอ คือการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนที่ดียิ่ง ไม่ใช่เพราะเป็นการนำเอาไปใช้สอนเกี่ยวกับการเกษตร แต่เป็นเพราะ การปลูกฝังให้นักเรียนรู้จักวางแผนการทำงาน สอนให้เด็กทำงานอย่างมีหลักวิชาการ มีการสืบค้น ค้นคว้าหาความรู้ และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด" โดยการตั้งคำถามของครูตลอด อีกทั้งยังเป็นการสอนที่เน้นการปฏิบัติจริง
อันดับแรกคือการวางแผนการปฏิบัติงานนะครับ การที่เราจะพาเด็กทำอะไรนั้น เราต้องให้ความรู้ ก็คือองค์ความรู้... การที่เราจะให้องค์ความรู้แก่ใครก็ตาม ตัวเราเองต้องรู้จริง ต้องมีภูมิรู้ คือ เราต้องรู้ลึก รู้ละเอียด อย่างเช่น ถ้าเราจะพานักเรียนปลูกผักอย่างใดอย่างหนึ่ง เราต้องรู้ว่าผักนั้นเหมาะกับฤดูใด ต้องใช้ดินแบบใด ต้องรู้วิธีการในการดูแล เช่น มีปุ๋ย มีแร่ธาตุอะไรบ้างที่พืชชนิดนั้นต้องการ ในระยะเวลา ๑ เดือน จะมีศัตรูพืชอะไรเกิดขึ้น เช่น จะมีเพลี้ย มีหนอน เราต้องรู้นะครับ....สรุปคือ การที่เราจะทำอะไรเราต้องมีความรู้ก่อน นั่นคือการวางแผน มีการวิเคราะห์จำแนกองค์ประกอบว่าต้องใช้อะไรอย่างไรบ้าง รู้ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการกำหนดเป็นกราฟเวลาไว้นะครับว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่ ...
ขั้นที่สองคือ พาไปอบรม ศึกษาหาความรู้ และทัศนศึกษา เช่น กรณีผู้บริหารสนับสนุนให้ทำบ่อปลา... บ่อปลาต้องทำแบบไหน... ในพื้นดิน อิฐบล็อค บ่อปูน กระถางปูนได้ไหม .. ทำได้ทุกวิธีครับ... แต่ต้องทำอย่างไรนะถึงจะได้ผลจริงๆ ...ก็จัดให้ไปศึกษาดูงานนะครับ โดยครูก็จะคัดเลือกตัวแทนนักเรียนไป ... โดยแบ่งเด็กเป็นกลุ่มๆ แต่ละห้อง...แล้วมีการสำรวจว่า นักเรียนไปศึกษาดูงานมาแล้วสนใจเรื่องอะไร มีนักเรียนกี่คนสนใจอะไรบ้าง กี่คนสนใจเลี้ยงปลา กี่คนสนใจปลูกผัก...แล้วเราก็มาจับประเด็นว่า ถ้ามีนักเรียนสนใจปลูกผักเยอะ เราก็จะพาปลูกผัก...ถ้านักเรียนอยากทำอะไรเยอะ ก็จะลงเป็นมติว่าเทอมนั้นจะพาปลูกผัก...
เมื่อตกลงว่าจะปลูกผัก...แล้วครูก็จะถามต่อว่า ถ้าจะปลูกผักปลูกผักอะไร?...ที่บ้านปลูกผักไหม...เด็กก็จะตอบแตกต่างกันไป ปลูกผักกาด ผักคะน้า ผักปุ้ง ตะไคร้ ... ครูถามต่อว่า ถ้าจะปลูกตะไคร้ต้องทำอย่างไร มาเสนอหน้าห้องซิว่า การปลูกตะไคร้ต้องทำอย่างไร ต้องเตรียมอะไรบ้าง... บางคนจะปลูกใส่ในยางรถยนต์ แม้ไม่พื้นที่ก็ปลูก แสดงว่าสนใจ ใส่ใจ...เพราะไม่ใช่เรื่องง่าย... บางครั้งเราก็จะจัดอบรมโดยหาวิทยากรมาเสริม ซึ่งจะไม่อบรมในเรื่องที่เราถนัดและทำอยู่แล้ว...เช่น มาอบรมเรื่องการทำปุ๋ยหมัก ฯลฯ เหมือนกับที่บ้านผมนะครับ ตอนนี้ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย เพราะมันแพงนะครับ กระสอบหนึ่ง ๘๐๐ บาท แต่ถ้านำเศษอาหารมาหมักไว้ ปุ๋ยหมักต้องหมักไว้ก่อน ๑ ปี ก็ประหยัดและได้ผลดีกว่านะครับ...ให้ปุ๋ยสลายตัวดีก่อน...ได้ผลดีกว่าซื้อปุ๋ยเคมีนะครับ ...
ขั้นลงมือทำ ต้องมีการวางแผนบูรณาการกับวิชาในหลักสูตร ...จะสามารถทำให้นักเรียนมีทักษะเป็นภูมิคุ้มกันจริงๆ และมีการกำหนดโครงการผักปลอดสารพิษ เพื่อนำงบประมาณมาหนุนจัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เช่น จอบ เสียม บัวรดน้ำ ฯลฯ .... เพราะถ้าไม่ทำโครงการมาเสริม จะกลายเป็นแลปแห้ง เรียนแต่ทฤษฎี เขียนแต่บนกระดาษ ... ได้ความรู้ครับ มีองค์ความรู้ครับ แต่ไม่ได้ประสบการณ์... เช่น ครูบอกว่า ให้เอาเมล็ดหว่านลง แล้วรดน้ำ แต่วันต่อๆ มาไม่ได้รด เพราะครูไม่ได้บอก...เป็นไงครับ...ไม่ได้ผล.... ดังนั้น เราจะสอนอะไรก็แล้ว ต้องให้ได้ปฏิบัติจริง .... ขอบคุณครับ...
หากท่านพาเด็กๆ "ถอดบทเรียน" ตีความกิจกรรมต่างๆ โดยใช้ ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ นักเรียนจะเข้าใจ ปศพพ. ได้ดีโดยไม่ยาก...
ขอเรียนเชิญท่านอาจารย์ เข้าร่วมค่ายการเขียนหนังสือถอดบทเรียนครู BP ซึ่งจะจัดขึ้นเร็วๆ ไว้ล่วงหน้าครับ....
ผมประทับใจการนำเสนอของคุณครูท่านหนึ่งจากโรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย (คุณครูทองเพชร นางสีคุณ) มากครับ เพราะการนำเสนของท่าน สะท้อนให้เห็นชัดถึงวิธีการนำหลัก ปศพพ. ไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาเกษตรอย่างไร และเน้นให้นักเรียนต้องได้ลงมือทำ
ผมชี้ให้ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเห็นว่า สิ่งที่ท่านนำเสนอ คือการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนที่ดียิ่ง ไม่ใช่เพราะเป็นการนำเอาไปใช้สอนเกี่ยวกับการเกษตร แต่เป็นเพราะ การปลูกฝังให้นักเรียนรู้จักวางแผนการทำงาน สอนให้เด็กทำงานอย่างมีหลักวิชาการ มีการสืบค้น ค้นคว้าหาความรู้ และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด" โดยการตั้งคำถามของครูตลอด อีกทั้งยังเป็นการสอนที่เน้นการปฏิบัติจริง
อันดับแรกคือการวางแผนการปฏิบัติงานนะครับ การที่เราจะพาเด็กทำอะไรนั้น เราต้องให้ความรู้ ก็คือองค์ความรู้... การที่เราจะให้องค์ความรู้แก่ใครก็ตาม ตัวเราเองต้องรู้จริง ต้องมีภูมิรู้ คือ เราต้องรู้ลึก รู้ละเอียด อย่างเช่น ถ้าเราจะพานักเรียนปลูกผักอย่างใดอย่างหนึ่ง เราต้องรู้ว่าผักนั้นเหมาะกับฤดูใด ต้องใช้ดินแบบใด ต้องรู้วิธีการในการดูแล เช่น มีปุ๋ย มีแร่ธาตุอะไรบ้างที่พืชชนิดนั้นต้องการ ในระยะเวลา ๑ เดือน จะมีศัตรูพืชอะไรเกิดขึ้น เช่น จะมีเพลี้ย มีหนอน เราต้องรู้นะครับ....สรุปคือ การที่เราจะทำอะไรเราต้องมีความรู้ก่อน นั่นคือการวางแผน มีการวิเคราะห์จำแนกองค์ประกอบว่าต้องใช้อะไรอย่างไรบ้าง รู้ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการกำหนดเป็นกราฟเวลาไว้นะครับว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่ ...
ขั้นที่สองคือ พาไปอบรม ศึกษาหาความรู้ และทัศนศึกษา เช่น กรณีผู้บริหารสนับสนุนให้ทำบ่อปลา... บ่อปลาต้องทำแบบไหน... ในพื้นดิน อิฐบล็อค บ่อปูน กระถางปูนได้ไหม .. ทำได้ทุกวิธีครับ... แต่ต้องทำอย่างไรนะถึงจะได้ผลจริงๆ ...ก็จัดให้ไปศึกษาดูงานนะครับ โดยครูก็จะคัดเลือกตัวแทนนักเรียนไป ... โดยแบ่งเด็กเป็นกลุ่มๆ แต่ละห้อง...แล้วมีการสำรวจว่า นักเรียนไปศึกษาดูงานมาแล้วสนใจเรื่องอะไร มีนักเรียนกี่คนสนใจอะไรบ้าง กี่คนสนใจเลี้ยงปลา กี่คนสนใจปลูกผัก...แล้วเราก็มาจับประเด็นว่า ถ้ามีนักเรียนสนใจปลูกผักเยอะ เราก็จะพาปลูกผัก...ถ้านักเรียนอยากทำอะไรเยอะ ก็จะลงเป็นมติว่าเทอมนั้นจะพาปลูกผัก...
เมื่อตกลงว่าจะปลูกผัก...แล้วครูก็จะถามต่อว่า ถ้าจะปลูกผักปลูกผักอะไร?...ที่บ้านปลูกผักไหม...เด็กก็จะตอบแตกต่างกันไป ปลูกผักกาด ผักคะน้า ผักปุ้ง ตะไคร้ ... ครูถามต่อว่า ถ้าจะปลูกตะไคร้ต้องทำอย่างไร มาเสนอหน้าห้องซิว่า การปลูกตะไคร้ต้องทำอย่างไร ต้องเตรียมอะไรบ้าง... บางคนจะปลูกใส่ในยางรถยนต์ แม้ไม่พื้นที่ก็ปลูก แสดงว่าสนใจ ใส่ใจ...เพราะไม่ใช่เรื่องง่าย... บางครั้งเราก็จะจัดอบรมโดยหาวิทยากรมาเสริม ซึ่งจะไม่อบรมในเรื่องที่เราถนัดและทำอยู่แล้ว...เช่น มาอบรมเรื่องการทำปุ๋ยหมัก ฯลฯ เหมือนกับที่บ้านผมนะครับ ตอนนี้ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย เพราะมันแพงนะครับ กระสอบหนึ่ง ๘๐๐ บาท แต่ถ้านำเศษอาหารมาหมักไว้ ปุ๋ยหมักต้องหมักไว้ก่อน ๑ ปี ก็ประหยัดและได้ผลดีกว่านะครับ...ให้ปุ๋ยสลายตัวดีก่อน...ได้ผลดีกว่าซื้อปุ๋ยเคมีนะครับ ...
ขั้นลงมือทำ ต้องมีการวางแผนบูรณาการกับวิชาในหลักสูตร ...จะสามารถทำให้นักเรียนมีทักษะเป็นภูมิคุ้มกันจริงๆ และมีการกำหนดโครงการผักปลอดสารพิษ เพื่อนำงบประมาณมาหนุนจัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เช่น จอบ เสียม บัวรดน้ำ ฯลฯ .... เพราะถ้าไม่ทำโครงการมาเสริม จะกลายเป็นแลปแห้ง เรียนแต่ทฤษฎี เขียนแต่บนกระดาษ ... ได้ความรู้ครับ มีองค์ความรู้ครับ แต่ไม่ได้ประสบการณ์... เช่น ครูบอกว่า ให้เอาเมล็ดหว่านลง แล้วรดน้ำ แต่วันต่อๆ มาไม่ได้รด เพราะครูไม่ได้บอก...เป็นไงครับ...ไม่ได้ผล.... ดังนั้น เราจะสอนอะไรก็แล้ว ต้องให้ได้ปฏิบัติจริง .... ขอบคุณครับ...
หากท่านพาเด็กๆ "ถอดบทเรียน" ตีความกิจกรรมต่างๆ โดยใช้ ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ นักเรียนจะเข้าใจ ปศพพ. ได้ดีโดยไม่ยาก...
ขอเรียนเชิญท่านอาจารย์ เข้าร่วมค่ายการเขียนหนังสือถอดบทเรียนครู BP ซึ่งจะจัดขึ้นเร็วๆ ไว้ล่วงหน้าครับ....
วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558
ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๒๔ : PLC ขับเคลื่อน ปศพพ. เทศบาลเมืองมหาสารคาม
วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ CADL สำนักศึกษาทั่วไป ร่วมกับเทศบาลเมืองมหาสารคาม จัดเวที PLC เทศบาลเมืองมหาสารคามเพื่อขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ปศพพ.) ที่โรงเรียนเทศบาลบ้านแมด ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเป็นคณะครูคนละกลุ่มกับ PLC-อ่านออกเขียนได้ กับ PLC-พัฒนาการคิด ประมาณ ๕๐ ท่าน ผู้บริหาร ๗ ท่าน โดยมี รองนายกเทศมนตรีวัลลภ วรรณปะเถาว์ ให้เกียรติมาเป็นประธานในครั้งนี้เช่นเคย... ขอขอบพระคุณท่านที่ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องครับ
BAR (Before Action Review)
ก่อนเริ่มกิจกรรม สิ่งที่เราทำไม่ขาดก็คือ แจกกระดาษโพสท์อิทคนละใบ แล้วให้เขียนคำตอบของคำถาม เพื่อสร้างและปรับค่านิยมร่วม (Shared Value) ได้แก่ ๑) หากเราทำสำเร็จ ทุกคนมีอุปนิสัย "พอเพียง" นักเรียนจะมีคุณลักษณะหรือความสามารถอย่างไร และเพื่อสำรวจความเข้าใจต่อ ปศพพ. ด้านการศึกษา ผมตั้งปัญหาให้เขียนตอบในกระดาษโพสท์อิทแผ่นที่ ๒) ว่า จงยกตัวอย่างวิธีการปลูกฝังอุปนิสัย "พอเพียง" ที่ท่านได้ทำมาแล้ว
ต่อไปนี้คือคำตอบของครู เมื่อถามว่า เด็กมีอุปนิสัย "พอเพียง" จะมีคุณลักษณะและความสามารถอย่างไร?
จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดของการขับเคลื่อน ปศพพ. คือ เริ่มจากถอดบทเรียนสิ่งที่ทำแล้วหรือสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้ว
ปัญหาสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา คือ บุคลากรเข้าใจว่า การขับเคลื่อนฯ เป็นภาระเพิ่มเติมจากงานประจำที่ทำตามหลักสูตร ซึ่งถือเป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง เพราะอุปนิสัย "พอเพียง" คือคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของหลักสูตรแกนกลาง ๒๕๕๑ ซึ่งใช้โรงเรียนกำลังใช้อยู่ เช่น คุณธรรมพื้นฐาน ๘ ประการ ได้แก่ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี มีน้ำใจ และสมรรถนะที่สำคัญของผู้เรียน ๕ ประการ ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิด การแก้ปัญหา ทักษะชีวิต และทักษะการใช้เทคโนโลยี นั่นหมายความว่า การขับเคลื่อน ปศพพ. ก็คือการทำให้นักเรียนบรรลุถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตร นั่นหมายถึง การขับเคลื่อนฯ คืองานหลักนั่นเอง...
ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำสำหรับผู้ต้องการจะขับเคลื่อน ปศพพ. ด้านการศึกษาสู่โรงเรียนของตนคือ ทำใจตนเองให้ยอมรับว่า งานขับเคลื่อนฯ คืองานหลัก คือภาระหน้าที่หลัก ไม่ใช่ภาระหน้าที่เสริมเพิ่มเติมใดๆ
วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นดำเนินการคือ "ถอดบทเรียน" ตนเอง โรงเรียนตนเอง ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้น "พอเพียง" หรือไม่ โดยมุ่งพิจารณาภาระหน้าที่ของตนเป็นหลัก เช่น ผู้บริหารก็พิจารณาการบริหารจัดการของตนว่า แต่ละสิ่งอย่างที่ทำนั้นมีเหตุผลที่ถูกต้องเพียงพอหรือไม่ ใช้วิธีการที่เหมาะสมพอประมาณหรือไม่ และมีแนวทางและการบริหารความเสี่ยงหรือภูมิคุ้มกันที่ดีหรือไม่ แต่ถ้าหากเป็นครู ต้องดูที่การจัดการเรียนรู้และปฏิบัติสัมพันธ์ระหว่างตนกับนักเรียนเป็นสำคัญ
การแยกกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็น "ที่ผ่านมาเราขับเคลื่อน ปศพพ. ในโรงเรียนอย่างไร" แล้วเปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มได้นำเสนอต่อหน้าทุกคน และจับประเด็นเด่นๆ สรุปได้ดังแบ่งไว้เป็น ๓ หมวด คือ เกี่ยวกับการเรียนการสอน กิจกรรมเสริม และกิจวัตรในชีวิตประจำวัน ดังภาพ
การแยกกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้และส่งตัวแทนมานำเสนอ แท้จริงก็คือการ "ถอดบทเรียน" อย่างรวดเร็ว พบว่ากิจกรรมการขับเคลื่อนฯของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลฯ ก็เหมือนโรงเรียนส่วนใหญ่ ที่ให้ความสำคัญกับ กิจกรรมปลูกฝังและส่งเสริมด้านคุณธรรม และนำเข้าสู่ห้องเรียนผ่านรายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี
ผมในฐานะผู้ขับเคลื่อนฯ บอกกับครูแบบ "ฟันธง" เราไม่ต้องทำอะไรใหม่ เพียงแค่เอาสิ่งที่เราทำอยู่แล้วเหล่านี้ มา"ถอดบทเรียน"อย่างละเอียด ให้เห็น วิธีคิด วิธีการ และผลลัพธ์ของตนเองที่ผ่านมาในแต่ละเรื่อง และฝึกให้นักเรียนได้คิดบนฐาน ปศพพ. ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ
ฟังจากการนำเสนอ โรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย มีครูแกนนำที่รู้แล้วเข้าใจ และน้อมนำหลัก ปศพพ. ไปปฏิบัติอยู่แล้วจนเห็นผล บันทึกหน้าจะมาว่าให้ฟังเรื่องนี้โดยเฉพาะครับ ...
ตอนทายผมบรรยายสรุปหลักปฏิบัติในการขับเคลื่อน ปศพพ. ด้านการศึกษา อ่านได้ที่บันทึกนี้ครับ
ดูรูปทั้งหมดที่นี่ครับ
BAR (Before Action Review)
ก่อนเริ่มกิจกรรม สิ่งที่เราทำไม่ขาดก็คือ แจกกระดาษโพสท์อิทคนละใบ แล้วให้เขียนคำตอบของคำถาม เพื่อสร้างและปรับค่านิยมร่วม (Shared Value) ได้แก่ ๑) หากเราทำสำเร็จ ทุกคนมีอุปนิสัย "พอเพียง" นักเรียนจะมีคุณลักษณะหรือความสามารถอย่างไร และเพื่อสำรวจความเข้าใจต่อ ปศพพ. ด้านการศึกษา ผมตั้งปัญหาให้เขียนตอบในกระดาษโพสท์อิทแผ่นที่ ๒) ว่า จงยกตัวอย่างวิธีการปลูกฝังอุปนิสัย "พอเพียง" ที่ท่านได้ทำมาแล้ว
ต่อไปนี้คือคำตอบของครู เมื่อถามว่า เด็กมีอุปนิสัย "พอเพียง" จะมีคุณลักษณะและความสามารถอย่างไร?
- รักบ้านเกิด รักโรงเรียน มีค่านิยม ๑๒ ประการ มีคุณธรรมดี
- พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
- ห่อข้าวมากินที่โรงเรียน
- ชอบเอาผลไม้ที่มีอยู่บ้าน มาฝากครูและแบ่งปันเพื่อนๆ
- อารมณ์ร่าเริง ชอบแบ่งปันสิ่งของให้เพื่อนๆ
- เป็นคนมีความรู้ มีเหตุผล รู้จักพอประมาณ
- ประหยัด อดออม
- แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
- รับฟังความเห็นของผู้อื่น
- รับผิดชอบ กตัญญู มีจิตอาสา มีวินัยในตนเอง
- สนใจ อดทน มุ่งมั่น
- อยากลองปฏิบัติ อยากเห็นผลที่ได้
- มีความรู้ มีคุณธรรม ไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน
- ซื่อสัตย์ ประหยัด กตัญญู
- รู้จักใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
- ไม่โกหก พูดความจริง
- เรียบร้อย สุภาพ ปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน
- ไม่นิยมใช้เทคโนโลยีมากนัก เช่น โทรศัพท์มือถือ
- ไม่ฟุ่มเฟือย
- รับผิดชอบหน้าที่ของตน
- รู้จักตนเอง รู้จักพฤติกรรมของตนเอง รู้จักการปรับปรุงให้ดีขึ้น
- สามารถใช้ชีวิตรร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และรู้จักเอื้อเฟื้อ
- สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางสังคม
- มีความคิดสร้างสรรค์ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การเก็บออมและการใช้จ่าย
- รู้จักช่วยงานบ้าน เช่น ล้างจาน กรอกน้ำ
- รู้จักการเลือกซื้อของ ไม่จำเป็นไม่ซื้อ
- มีความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะ
- ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
- ใช้เป็นแนวคิดในการดำเนินชีวิต เช่น การวางแผนชีวิตอย่างมีเป้าหมาย การวางรากฐานที่มั่นคง
- ด้านดำเนินชีวิต เช่น การวางแผนการใช้จ่าย
- ให้ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ในการดำรงชีวิต
- รับประทานอาหาร ขนม เป็นเวลา
- รู้จักเลือกรับประทานอาหาร
- สมุดหนังสือไม่ฉีกขาด
- พัฒนาการเรียนรู้ให้ดีขึ้น
- สั่งสอนนักเรียนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม มีระเบียบ
- ฝึกให้เด็กรู้จักการนำวัสดุเหลือใช้ไปทำให้เกิดประโยชน์
- ฝึกการเก็บออม
- ใช้ในการทำงานและการใช้ในชีวิตประจำวัน
- ความเข้าใจต่อ ปศพพ. ของครู ผูกผันอยู่กับ "๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข" ครูสังกัดเทศบาลส่วนใหญ่ ไม่ได้ยึดติดอยู่กับการเกษตร แต่เข้าใจว่าต้องนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต และชีวิตประจำวันของนักเรียน ... แสดงว่าเข้าใจการปรับใช้ ปศพพ. กับด้านการศึกษาอย่างถูกต้อง
- ส่วนการนำไปเชื่อมโยงใช้ใน ๔ มิติ จะมุ่งไปที่ด้านวัตถุและเศรษฐกิจ คือ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การใช้เก็บอออม การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ฝึกให้ใช้วัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์ ฯลฯ ยังไม่มีมิติด้านสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม
- เป้าหมายที่ครูต้องการให้เกิดกับนักเรียนตามคำตอบของคำถามแรก ครอบคลุมทั้งระดับ "มูลค่า" คือหวังให้นักเรียน รู้จักการออม ประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย ระดับ "คุ้มค่า" ได้แก่การเลือกใช้วัสดุอย่างคุ้มค่า การวางแผน การทำงาน และการแก้ปัญหาต่างๆ และระดับ "คุณค่า" เกิดปัญญา รู้จักตนเอง ภูมิใจในตนเอง รักโรงเรียน รักท้องถิ่น รู้จักแบ่งปัน ฯลฯ
- แต่คำตอบของครูต่อข้อคำถามที่ ๒) เรื่องการปลูกฝัง เน้นเพียงด้านเงื่อนไขคุณธรรม และการนำไปใช้ด้านวัตถุและการเงิน ในระดับ "มูลค่า" แต่ยังขาดกระบวนการพัฒนาการคิดและทักษะการแก้ปัญหา
- ไม่มีคำตอบที่สะท้อนถึงการบูรณาการการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนกับการปลูกฝังอุปนิสัย "พอเพียง" ด้านการคิดและทักษะการดำเนินชีวิต
จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดของการขับเคลื่อน ปศพพ. คือ เริ่มจากถอดบทเรียนสิ่งที่ทำแล้วหรือสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้ว
ปัญหาสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา คือ บุคลากรเข้าใจว่า การขับเคลื่อนฯ เป็นภาระเพิ่มเติมจากงานประจำที่ทำตามหลักสูตร ซึ่งถือเป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง เพราะอุปนิสัย "พอเพียง" คือคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของหลักสูตรแกนกลาง ๒๕๕๑ ซึ่งใช้โรงเรียนกำลังใช้อยู่ เช่น คุณธรรมพื้นฐาน ๘ ประการ ได้แก่ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี มีน้ำใจ และสมรรถนะที่สำคัญของผู้เรียน ๕ ประการ ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิด การแก้ปัญหา ทักษะชีวิต และทักษะการใช้เทคโนโลยี นั่นหมายความว่า การขับเคลื่อน ปศพพ. ก็คือการทำให้นักเรียนบรรลุถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตร นั่นหมายถึง การขับเคลื่อนฯ คืองานหลักนั่นเอง...
ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำสำหรับผู้ต้องการจะขับเคลื่อน ปศพพ. ด้านการศึกษาสู่โรงเรียนของตนคือ ทำใจตนเองให้ยอมรับว่า งานขับเคลื่อนฯ คืองานหลัก คือภาระหน้าที่หลัก ไม่ใช่ภาระหน้าที่เสริมเพิ่มเติมใดๆ
วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นดำเนินการคือ "ถอดบทเรียน" ตนเอง โรงเรียนตนเอง ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้น "พอเพียง" หรือไม่ โดยมุ่งพิจารณาภาระหน้าที่ของตนเป็นหลัก เช่น ผู้บริหารก็พิจารณาการบริหารจัดการของตนว่า แต่ละสิ่งอย่างที่ทำนั้นมีเหตุผลที่ถูกต้องเพียงพอหรือไม่ ใช้วิธีการที่เหมาะสมพอประมาณหรือไม่ และมีแนวทางและการบริหารความเสี่ยงหรือภูมิคุ้มกันที่ดีหรือไม่ แต่ถ้าหากเป็นครู ต้องดูที่การจัดการเรียนรู้และปฏิบัติสัมพันธ์ระหว่างตนกับนักเรียนเป็นสำคัญ
การแยกกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็น "ที่ผ่านมาเราขับเคลื่อน ปศพพ. ในโรงเรียนอย่างไร" แล้วเปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มได้นำเสนอต่อหน้าทุกคน และจับประเด็นเด่นๆ สรุปได้ดังแบ่งไว้เป็น ๓ หมวด คือ เกี่ยวกับการเรียนการสอน กิจกรรมเสริม และกิจวัตรในชีวิตประจำวัน ดังภาพ
การแยกกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้และส่งตัวแทนมานำเสนอ แท้จริงก็คือการ "ถอดบทเรียน" อย่างรวดเร็ว พบว่ากิจกรรมการขับเคลื่อนฯของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลฯ ก็เหมือนโรงเรียนส่วนใหญ่ ที่ให้ความสำคัญกับ กิจกรรมปลูกฝังและส่งเสริมด้านคุณธรรม และนำเข้าสู่ห้องเรียนผ่านรายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี
ผมในฐานะผู้ขับเคลื่อนฯ บอกกับครูแบบ "ฟันธง" เราไม่ต้องทำอะไรใหม่ เพียงแค่เอาสิ่งที่เราทำอยู่แล้วเหล่านี้ มา"ถอดบทเรียน"อย่างละเอียด ให้เห็น วิธีคิด วิธีการ และผลลัพธ์ของตนเองที่ผ่านมาในแต่ละเรื่อง และฝึกให้นักเรียนได้คิดบนฐาน ปศพพ. ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ
ฟังจากการนำเสนอ โรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย มีครูแกนนำที่รู้แล้วเข้าใจ และน้อมนำหลัก ปศพพ. ไปปฏิบัติอยู่แล้วจนเห็นผล บันทึกหน้าจะมาว่าให้ฟังเรื่องนี้โดยเฉพาะครับ ...
ตอนทายผมบรรยายสรุปหลักปฏิบัติในการขับเคลื่อน ปศพพ. ด้านการศึกษา อ่านได้ที่บันทึกนี้ครับ
ดูรูปทั้งหมดที่นี่ครับ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)



