วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๔๐ : PLC เทศบาลบ้านวิทย์น้อย บัญญัติ ๑๐ ประการแรก

วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ PLC เทศบาลบ้านวิทย์น้อย ในวง AAR หลังจากเข้าเยี่ยมชมการสอนของครูปฐมวัย ร.ร.เทศบาลบ้านส่องนางใย  หลังจาก "เปิดห้องเรียน" การให้สะท้อน (Reflection) และ ป้อนกลับ (Feedback) เป็นการ "เปิดใจเรียน" ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการ PLC

 
การสะท้อนป้อนกลับส่วนใหญ่ เป็นแบบ "วิพากษ์"  คือ เป็นการชี้ให้เห็นส่วนที่ควรปรับปรุงพัฒนา ในสายตาของผู้เยี่ยมชมอย่างเป็นเหตุเป็นผล  ... ผมรู้สึกว่า วิธีการให้ความเห็นแบบนี้ไม่ดีนัก ความรักและความเอาใจใส่ของครู ดูเหมือนได้รับความสำคัญน้อยไป

ผมสรุปประเด็นที่เราเห็นว่าเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาได้ ๑๑ ข้อ  ขอเสนอเป็นบัญญัติ ๑๐ ประการ  (รวบบางข้อที่เห็นเป็นประเด็นเดียวกัน) สำหรับการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ดังนี้ 

๑)  ให้กระบวนการ ตาม "วัฎจักรนักวิทย์น้อย"  

จากการไปเยี่ยม ๓ โรงเรียน เราพบตรงกันว่า ครูส่วนใหญ่ยังห่วงเนื้อหา ต้องการอยากจะได้เด็กได้ความรู้ หรือสาระจากแต่ละการทดลอง จึงพยายามที่จะ ตั้งคำถามนำ บอกคำตอบ พยายามเฉลยคำตอบ หรือก็คือ ยังเน้นเนื้อหา  

๒)  เน้นนักเรียนรายบุคคล คือ ให้นักเรียนทุกคนได้ลงมือทดลองด้วยตนเอง

การทดลองในโครงการบ้านวิทย์น้อยส่วนใหญ่จะใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ราคาไม่แพง สามารถหาซื้อได้ในร้านเครื่องเขียน (ศึกษาพันธ์) ดังนั้นจึงน่าจะเป็นไปได้ที่เด็กๆ ทุกคนได้ลงมือทดลองด้วยตนเอง ได้ฝึกคิดฝึกทำด้วยตนเอง ...  ในกรณีที่มีวัสดุไม่เพียงพอ ที่เด็กๆ ต้องร่วมกันทำ  ครูน่าจะต้องรอและติดตามดูว่า เด็กทุกคนได้ทำ  โดยเฉพาะเมื่อเวลาครูตั้งคำถาม ส่วนใหญ่จะมีเด็ก (เก่ง กล้า) ไม่กี่คนที่จะคอยตอบ ซึ่งจะมีเด็กส่วนหนึ่งที่อาจจะไม่ชอบ เพราะตอบไม่ได้หรือตอบไม่ทัน หรือไม่กล้าตอบ .... 

๓) ฝึกทักษะการทำงานเป็นทีมหรือทำงานกลุ่ม 

ทักษะนี้สำคัญมากๆ โดยเฉพาะเด็กที่จะต้องดำรงชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ ๒๑  การไปเยี่ยมห้องเรียนของทั้ง ๒ โรงเรียน พบว่า ครูจะใช้วิธีการบอกให้ทำตาม  หรือให้เด็กตัดสินใจเองว่าใครจะทำอะไร โดยไม่ได้ใส่เงื่อนไขให้เด็กได้ฝึกทำงานร่วมกัน เช่น ให้แบ่งหน้าที่กัน ให้คุยกันว่าใครจะทำก่อนหลัง ฯลฯ  

๔) เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ "ทำซ้ำ"   

ระหว่างการเยี่ยมการสอน ผมสังเกตว่า เด็กหลายคนต้องการจะทำซ้ำ อยากทำใหม่  นั่นหมายถึง เกิดความสงสัย เปิดใจอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ถ้าเพียงครูจัดอุปกรณ์พร้อมไว้ ให้เด็กได้ทำซ้ำตามใจ  ครูก็คอยตั้งคำถามให้การเรียนรู้ลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ 

๕) การเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ 

ทันทีที่ครูเกร็ง จะเกิดการเร่งเวลาด้วยการบอก ออกคำสั่ง ห่วงเรื่องความเรียบร้อย ต้องไม่เลอะ ไม่เปื้อน ฯลฯ  ทำให้การเรียนไม่เป็นธรรมชาติ   ธรรมชาติของเด็กคือ ได้ "เล่น" (Play) แต่เราอยากให้เด็ก "เรียน" (Learn) ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวาณิช (อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย) ท่านใช้คำว่า "เพลิน" (Plearn) สำหรับการ "เล่น+เรียน" .... มาเห็นครูปุ๊กพูดคำนี้ที่ ร.ร.เทศบาลโพธิ์ศรี ครับ 

๖) ความปลอดภัย ... ไม่ต้องอธิบายครับ ครูปฐมวัยใส่เรื่องนี้ที่สุด 

๗) ครูอาจจะสอนแบบ "ทำให้ดู" หรือเรียกว่าการสาธิต ในกรณีที่ไม่ซับซ้อนมาก  หรืออาจสอนแบบ "พาทำ" สำหรับการทดลองที่ซับซ้อนมากขึ้น  แต่ที่สำคัญคือ ครูต้อง "ให้ทำเอง" เสมอ ...

๘) ครูต้องมั่นใจ ... 

๙) สังเกตว่า นักเรียนมีความสุข สนุกที่ได้เรียน 
๑๐) เชื่อมโยงชีวิตจริง  คือ เชื่อมโยงเรื่องที่เด็กๆ ได้เรียนรู้จากการทดลอง ไปสู่เหตุการณ์จริงๆ ในชีวิตของเด็กๆ  


วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๓๙ : PLC เทศบาลบ้านวิทย์น้อย ร.ร.เทศบาลบ้านส่องนางใย

วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ CADL ร่วมกับคณะครูระดับปฐมวัยจากโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองมหาสารคาม  การเยี่ยมประเมินเชิงพัฒนาคราวนี้ เรามีเครื่องมือเสริม เพิ่มการมองวิธีการจัดกิจกรรมการสอน (อ่านที่นี่) โดยตั้งคำถามว่า ทักษะใดที่เด็กๆ ได้ฝึกฝนในแต่ละขั้นตอน  ...  ขอบคุณท่านผอ.สิทธิชัย สมศิลา รองผอ.วิลัดดา วงศ์ประดับแพร และคุณครูทุกท่านครับ ที่ให้การต้อนรับ และให้เกียรติทีมผู้เยี่ยมเยือนอย่างยิ่ง

ผมประทับใจกระบวนการเตรียมนักเรียนก่อนเข้าห้องเรียนของ ร.ร.เทศบาลบ้านส่องนางใย  และเสนอว่าทุกโรงเรียนควรนำไปพิจารณาปรับใช้บ้าง  ผมเห็นการฝึกระเบียบ วินัย บริหารฐานกาย และให้ความสำคัญกับการเตรียมฐานใจ ด้วยการให้ฟังเพลงผ่อนคลายและใช้การนั่นสมาธิ ...  





การนิเทศคราวนี้ ผู้เยี่ยมแบ่งออกเป็นทั้งสิ้น ๘ ทีม สำหรับ ๘ ห้องเรียน ใช้เวลาตั้งแต่ ๘:๓๐ น. - ๑๐:๐๐ น.  อยู่ดูจนครบกระบวนการทั้งหมด เพื่อที่จะได้เห็นความเป็นธรรมชาติของกระบวนการสอนปกติมากที่สุด ก่อนจะมารวมทำ AAR กันที่ห้องประชุมเวลา ๑๐:๐๐ น.เศษๆ  เรา BAR (Before Action Review) กันว่า เด็กๆ สนุกและได้ฝึกทักษะวิทยาศาสตร์อย่างไรในโรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย


ข้อดีของวิธีการนิเทศแบบนี้ คือ มีเวลานานพอสำหรับการสังเกตการสอนจนครบกระบวนการ ทำให้ผู้สังเกตสามารถสะท้อนได้อย่างละเอียด ... เสียดายที่ตอนทำ AAR ผมไม่ได้เปิดโอกาสให้แต่ละทีมสะท้อนหรือป้อนกลับข้อสังเกตให้ผู้สอนมากนัก  ...  ผมเสนอว่า การเยี่ยมโรงเรียนถัดไป น่าจะกำหนดกระบวนการให้ แต่ละทีมสะท้อนป้อนกลับทันทีหลังการสังเกต ก่อนจะมาสรุปภาพรวมที่วง AAR อีกครั้งหนึ่ง

ผมเข้าสังเกตการสอนห้อง อนุบาล ๓/๒ ห้องของครูเพ็ญ และครูหนิง น้องนิสิตฝึกสอน (ขออภัยหากจำผิดนะครับ)  การทดลองวันนี้คือ "ไข่ไดโนเสาร์" ผมไม่เคยเห็นการทำกิจกรรมนี้มาก่อน จึงพยายามนึกเชื่อมโยงว่า ครูเพ็ญต้องการจะสอนทักษะอะไรจากการทดลองเรื่องนี้ เมื่อรู้วิธีการทั้งหมด ซึ่งไม่ยากเลย จึงสงสัยกิจกรรมนี้จะง่ายเกินไปไหม สำหรับนักเรียนอนุบาล ๓ แต่พอได้สังเกตตลอดการทดลอง พบว่า ครูเพ็ญเน้นเรื่องการสอนการคิดวิเคราะห์เปรียบเทียบ และแนวคิดของโครงการทดลองได้น่าสนใจมากครับ





ผมตีความว่า ครูเพ็ญและครูหนิง จะฝึกให้นักเรียนคิดหาคำตอบ คำถามส่วนใหญ่ต้องการจะให้เด็กอธิบายว่า ทำไมไข่ต้มซึ่งปกติปอกออกจะสีขาว จะเป็นสีลายกลายเป็นไข่ไดโนเสาร์ไป  การรีบเฉลยคำตอบ และการตั้งคำถามนำ ทำให้การสอนที่ต้องการเน้นกระบวนการคิดและอธิบายเหตุการณ์ กลายเป็นการสอนแบบเน้น "เนื้อหา" ไป

การทดลองนี้น่าจะเป็นการทดลอง ก่อนการเรียนรู้เรื่องไดโนเสาร์ โดยเฉพาะถ้ามีโครงการพาเด็กไปทัศนศึกษาที่ภูกุ้มข้าว และภูน้อย ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ (ถิ่นไดโนเสาร์)  คือเป็นกิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียน

สาระสำคัญของการทดลองนี้ ไม่ซับซ้อน เช่น คือสี รั่วเข้าไปตามรอยแตกของเปลือกไข่ ซึมเข้าไปย้อมไข่ให้เป็นสี  ไข่จึงมีสีลายตามรอยแตกของเปลือกไข่ ....  ผมเสนอว่า ครูน่าจะมองไปที่มุมมองเพื่อสอนว่า เปลือกไข่มีรูพรุนจะดีกว่า เพื่อสอนให้เด็กรู้จัก "การแพร่" ที่นำมาใช้ในการทำไข่เค็มและไข่เยี่ยวม้า...



อุปกรณ์ที่ต้องใช้คือ ไข่ต้มคนละฟอง ช้อนเอาไว้เคาะเปลือกไข่ สีผสมอาหารสีต่างๆ อ่างใส่น้ำไว้ล้างไม่ให้เปื้อนเกินไป ถุงพลาสติกใส และจานเอาไว้ใส่เปลือกไข่และสำหรับไข่ที่ปอกเปลือกออกแล้ว

วิธีการที่ผมเห็น อาจสรุปเป็น ดังนี้ครับ
  • เอาช้อนเคาะเปลือกไข่ต้มให้แตกทั่วฟอง 
  • เอาไข่ใส่ในถุงพลาสติกใส แล้วตักน้ำสีผสมอาหารใส่ประมาณ ๒ ช้อน  ปิดปากถุง แล้วพลิกขย้ำไปมา ย้อมสีไข่ให้ทั่วฟอง ทิ้งไว้ ๕ นาที
  • เอาไข่ออกมาล้าง แล้วแกะเปลือกไข่ออก  เท่านี้ก็จะได้ไข่ต้มมีลาย คล้ายๆ ไข่ไดโนเสาร์ 
จุดเด่นของการทดลองนี้ คือ ทำง่าย อุปกรณ์ราคารถูก เด็กได้ลงมือทำทุกคน ผมสังเกตว่า เด็กๆ ที่นั่งเป็นกลุ่มในขณะที่ทำงานเดี่ยวนั้น ไม่น่าจะใช่วิธีที่ดี เพราะเด็กๆ จะหยอกล้อ คุยกัน คุมสมาธิได้ยากมาก


อย่างไรก็ดี ผมสังเกตว่า เด็กๆ ก็ยังสนุกและมีความสุขกับการเรียนของครูเพ็ญ โดยเฉพาะการตั้งตารอว่า เมื่อไหร่ครูจะให้กินไข่เสียที หลายคนทนไม่ไหว แอบฝืนคำสั่งครูเดินไปหยิบเอาไข่ในจานด้านหลังครูเอาดื้อๆ

ส่วนที่ผมชอบที่สุด ในกระบวนการของครูเพ็ญและครูหนิงคือ ท่านพยายามออกแบบกิจกรรมการทดลองที่จะเป็นพื้นฐานของการทำ "โครงงาน" มีการกำหนดตัวแปร มีการเปรียบเทียบ และมีการทดลอง มีการสรุปผล  ท่านนำไข่ต้มมาสองฟอง ฟองหนึ่งกระเทาะให้แตก ส่วนอีกฟองไม่ทำอะไร ทำการทดลองแบบไข่ไดโนเสาร์กับไข่ทั้งสองฟองไปพร้อมๆ กัน โดยแยกไว้ฟองละถุง  ให้เด็กๆ ช่วยกันเดาคำตอบ แล้วพิสูจน์โดยการปอกให้ดู  แล้วครูก็ตั้งคำถาม และสรุปการทดลอง








ในวงสนทนา AAR สะท้อนป้อนกลับ ผมให้ความเห็นเชิงวิพากษ์กับการสอนเรื่องไข่ไดโนเสาร์ในห้อง อนุบาล ๓/๒  ๓ ประเด็น ดังนี้

๑) ไม่รีบเฉลย ทิ้งเวลาให้เด็กได้คิด และเรียนรู้ด้วยตนเอง หลังจากตั้งคำถามอย่างชัดเจน
๒) การให้นั่งแยกทำงานเดี่ยว และนั่งรวมทำงานกลุ่ม  อาจช่วยคุมสมาธิเด็กได้ง่ายขึ้น คือ ถ้าให้ทำงานเดี่ยว เช่น ปอกเปลือกไข่คนละฟอง ก็ให้แยกนั่งกระจายอยู่คนเดียว ถ้าจัดให้นั่งเป็นกลุ่ม ก็ต้องมีกิจกรรมให้ฝึกทำงานเป็นทีมด้วย เช่น ให้วาดรูปร่วมกัน แล้วส่งตัวแทนอธิบาย เป็นต้น
๓) หยิบเอาเหตุการณ์ในห้อง มาเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องที่สอน คือ เมื่อเด็กพูดประโยคที่แสดงถึงความสงสัย ก็ให้ตั้งคำถามต่อเนื่องให้เข้ากับเรื่องที่กำลังเรียนอยู่  เช่น  มีเด็กคนหนึ่งพูดเกี่ยวกับ "ไก่ตี" (ไก่ชน) คงเพราะผู้ปกครองสนใจ และคงเชื่อมโยงกับไข่ไก่ที่ครูเอามาให้เล่นวันนี้  เพื่อนอีกคนพอได้ยิน เพื่อนอีกคน พูดติดตลกว่า "เป็ดตีมีไหม?" ...  กรณีแบบนี้ ครูอาจจะเปิดโอกาสให้คนแรกได้เล่าเรื่องไก่ชนที่บ้านให้ฟัง ฝึกการอธิบายและเล่าเรื่อง  และอาจตั้งคำถามกับคนหลังว่า ถ้าเราไปทำการทดลองนี้กับไข่เป็ด จะเป็นอย่างไร .... เป็นต้น

ผมก็คิดไปครับ...  เพียงแต่ยึดหลักว่า ให้เด็กๆ ได้ฝึกอธิบายจากการสังเกต กรณีที่ไม่มีใครอธิบายเลย หรือเพียงตอบเป็นคำสั้นๆ  น่าจะเป็นเพราะยังไม่มั่นใจ   วิธีที่ได้ผลคือ ให้อธิบายหรือเล่าเรื่องเกี่ยวกับความรู้เดิมที่นักเรียนรู้ดีก่อน  ในกรณีข้างต้นก็คือ เรื่องไก่ เป็นต้น ครับ




ภาพสุดท้ายประทับใจเด็กๆ ห้องครูติ๋วครับ น่ารักมาก .... มีความสุขครับ ...

บันทึกต่อไปค่อยมาว่าเรื่อง AAR ภาพรวมครับ ...


วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๓๘ : PLC เทศบาลบ้านวิทย์น้อย เครื่องมือส่งเสริมการมองกระบวนการ

วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ การ AAR หลังการตรวจเยี่ยมที่โรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี (อ่านที่นี่) พบว่า การเข้าเยี่ยมแบบ เข้าพร้อมๆ กันทีละห้องเรียนนั้น นอกจากครูและนักเรียนแต่ละห้องจะต้องรอแล้ว เวลาเพียงภาคเช้าที่เรามีนั้นไม่พอ  ทำให้ครูต้องทำการทดลองแบบรีบการทดลอง กลายเป็นเน้นเนื้อหาจดจำ ทำให้การเรียนรู้จึงไม่เป็นธรรมชาติ  ... จึงตกลงกันว่า ครั้งที่มา ร.ร.เทศบาลบ้านส่องฯ นี้ จะแยกออกเป็นทีม แต่ละทีมเข้าประจำคนละห้อง แล้วมาทำวง PLC แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในตอนเช้า  โดยผมอาสาว่าจะไปทำเครื่องมือมือเป็นไกด์ให้ทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกัน

หลักคิดในการทำเครื่องมือของผม ย่อมประหลาดกว่าคนอื่นแน่นอน เพราะ มันต้องเป็นการประเมินแบบพัฒนา ที่ผู้ประเมินและครูผู้สอนจะได้เรียนรู้ไปด้วยกัน ต้องประกอบไปด้วยคุณลักษณะ ๓ ประการคือ ต้องง่าย ได้คิด และไม่มีผิดมีถูก ... สุดท้ายออกมาเป็นแบบนี้ครับ (ดาวน์โหลดได้ที่นี่)





ผมมั่นใจว่าเครื่องมือนี้จะทำให้ ครูปฐมวัย ใน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม พูดคุยและอภิปรายกันเกี่ยวกับ "กระบวนการมากขึ้น"   ...ทักษะกระบวนการทั้ง ๖ ประการ จาก "วัฏจักรนักวิทย์น้อย"  จะสร้างความแตกต่างระหว่าง  "กิจกรรมที่ทำเพียงเพราะความสนุก" กับ "กิจกรรมที่ได้เรียนรู้ฝึกฝนอย่างมีความสุข" ....

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๓๗ : PLC เทศบาลบ้านวิทย์น้อย ร.ร. เทศบาลโพธิ์ศรี

วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ทีม CADL ไปเยี่ยมครูเพื่อศิษย์ที่โรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี คราวนี้ไม่ได้ไปเพียงทีมเราเท่านั้นครับ ครูอนุบาลโรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคารทั้งหมดที่เราไปเยี่ยมเมื่อวันก่อนโน้น (อ่านที่นี่) มาร่วมเป็นขบวน  ....  สิ่งที่เราพูดถึงมานาน เรื่องการเปิดห้องเรียนให้เพื่อนครูมาเรียนรู้ เป็นจริงขึ้นมาแล้วไม่คาดคิด ขอบคุณทั้งเจ้าบ้านและที่มาเยี่ยมดูงานครับ  ใจผมคึกคักมากว่า PLC จริงๆ เริ่มก่อตัวแล้ว....

จุดเด่นที่เป็น "โอกาส" สำคัญของนักเรียนที่มาเรียนโรงเรียนปฐมวัยในสังกัดเทศบาลคือ ๑) เทศบาลให้การสนับสนุนทรัพยากรครูและดูแลสนับนุนทุนงบประมาณอย่างดี แต่ละโรงเรียนมีอุปกรณ์เครื่องมือ สื่อ ไม่ขาดแคลน และ ๒) มีนักเรียนไม่มาก ยิ่งพิจาราณเทียบกับจำนวนครูและน้องนักศึกษาที่เข้าไปฝึกงานในแต่ละปี ทำให้มีโอกาสที่จดูแลและพิเคราะห์เด็กเป็นรายบุคคลได้ ๓) ฟรี  ต้องบอกว่า ผรีจริงๆ ผู้ปกครองไม่ต้องจ่ายค่าเทอม โรงเรียนสนับสนุนค่าหนังสือ ค่าอาหารกลางวัน และมีแจกเสื้อผ้าด้วย ... เรียกว่า "เทศบาลเพื่อชุมชน" จริงๆ

... พักเรื่องนี้ไว้ที่นี่ก่อนนะครับ ไปดูอนุบาลบ้านวิทย์น้อยที่ ร.ร.เทศบาลโพธิ์ศรี ต่อ...



โรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี มีกิจกรรมเตรียมนักเรียนหน้าเสาธงต่างไป โดยใช้การบริหารร่างการประกอบเพลง ที่น่าสนใจคือ ครูทุกคนพร้อมใจกันทำจังหวะเป็นแบบอย่างและทำท่าทางต่างๆ ไปพร้อมๆ กับนักเรียน ....

โรงเรียนเทศบาลโพธิ์ศรี มีนักเรียนปฐมวัย ๓ ห้อง เตรียมอนุบาล ๑ ๒ และ ๓ อย่างละห้อง  กระบวการตรวจเยี่ยมวันนี้คือ ให้ทุกห้องเตรียมทำการทดลองให้ผู้มาเยี่ยมดู  โดยครูทุกคนจะเข้าเยี่ยมพร้อมๆ กัน หลังห้อง

ห้องที่ ๑ ครูละมัย  "วงล้อหลากสี" 

ครูละมัยกำหนดให้นักเรียนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น คือ เด็กทุกคนจะต้องเตรียม "แกนกระดาษชำระ" มาจากบ้าน  ...  ประเด็นนี้ดีมาก อยากให้ครูทุกคนใช้วิธีนี้ครับ เพราะวิธีการมอบหมายให้เอาอะไรมา แบบนี้เป็นการฝึกให้เด็กๆ สื่อสารกับผู้ปกครอง ฝึกความรับผิดชอบของเด็ก และฝึกการวางแผน หรือฝึก "ความจดจ่อ" ต่อสิ่งที่ทำของเด็กๆ  ....   เพียงแต่ต้องไม่ยากเกินไป และไม่ให้ใช่ของที่ไม่มีราคาแพง

อุปกรณ์ทั้งหมดคือ ๑) แกนกระดาษชำระ ๑ อัน ๒) หนังยางหรือกาว ๓) สีเทียนหรือสีช็อค ๔) กระดาษขาว ๕) ไม้บรรทัด และ ๖) ดินสอ และ ๗) กรรไกร ... หากเป็นเด็กเล็ก อนุบาลหนึ่ง ครูละมัยทำให้ง่ายขึ้นด้วยการ  เตรียมกระดาษขนาดพอดีที่ขีดเส้นเรียบร้อย จึงไม่จำเป็นต้องมี อุปกรณ์หมายเลข ๕) ถึง ๗)

วิธีการคือ 
  1. ให้นักเรียนระบายสีลงในกระดาษ ช่องตารางละสี  ให้หลากสีตามต้องการ 
  2. เอากระดาษสีที่ระบายแล้ว มาม้วนล้อมแกนกระดาษ แล้วติดให้แน่น อาจใช้กาวหรือหนังยาง  ครูละมัยให้ใช้หนังยาง ดีครับ ไม่อันตรายและเลอะง่ายเกินไปสำหรับเด็กเล็ก 
  3. กลิ้งเล่นไปมา สายตาเด็กจะมองไม่ทัน ทำให้เหมือนสีผสมกัน  






สาระของการทดลองนี้อยู่ที่ การผสมสีที่หลอกตา อะไรที่เคลื่อนไหวไวๆ ดวงตาของคนจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นสีอะไร  ขอแนะนำให้พาเด็กๆ ทำแบบ ลูกข่างหลากสีจะดีครับ จะเห็นชัดกว่าในประเด็นนี้  (ดูคลิปได้ทั่วไปครับ เช่น ที่นี่)

แม้จะเป็นการทดลองง่ายๆ สบายๆ แต่เด็กๆ ก็ยังคงชอบและสนุกกับการ "เล่น" ได้  ส่วนที่ยังต้องเพิ่มเติมคือ "ฝึก" ทักษะกระบวนการตาม "วัฏจักรนักวิทย์น้อย" ๖ ขั้นตอน ได้แก่
  • ทำให้สงสัย 
  • ชวนให้คิดหาคำตอบ 
  • พาตรวจสอบคำตอบนั้น 
  • ให้แบ่งเปันอธิบาย 
  • ให้ระบายบันทึก
  • ให้ฝึกสรุปผล
เพื่อให้ได้ทั้ง "เล่น" ได้ "เพลิน" ได้ "learn" ได้ "รู้" จากการ "Do" และ "เห็น"


ห้องที่ ๒ "การละลายของน้ำตาล" ของครูตุ๊กตา

ครูตุ๊กตา ตั้งใจมาก จริงจังมาก เสียงดังฟังชัด อยากให้เด็กๆ รู้เยอะๆ   ท่านเตรียมอุปกรณ์อย่างดี มีอุปกรณ์ครบทุกอย่าง ได้แก่ น้ำตาล สีผสมอาหาร จาน แก้ว น้ำเปล่า และน้ำมัน เอามาวางบนโต้

วิธีการคือ
  • เอาจานท้องแบนมาใส่น้ำใส แล้วให้เด็กๆ เอาน้ำตาลวางลงตรงกลางจาน เวลาผ่านไป น้ำตาลจะหายไป .... น้ำตาลหายไปไหน?
  • เพื่อให้เห็นชัดขึ้น ลองเอาสีผสมอาหารหยดลงตรงก้อนน้ำตาลก่อน แล้วนำไปวางตรงกลางจาน ... เด็กๆ จะสังเกตเห็นว่าน้ำตาลไปไหน ...
  • ลองเปลี่ยนน้ำใสเป็นน้ำมัน ...น้ำตาลไม่ละลายในน้ำมัน ดังนั้น เหตุการณ์จะไม่เหมือนน้ำตาลในจานน้ำ ... ชี้ให้สังเกตความแตกต่าง คือแนวทางของการพัฒนาการคิดวิเคราะห์
การวางน้ำตาลหลายๆ สี ลงห่างกันอย่างพอดี จะทำให้สีเดินทางมาชนกัน สวยงาม.... สอนงานศิลปะได้เลย

เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น วิธีของครูตุ๊กตาดีมากครับ ท่านให้เด็ก เอาน้ำตาลใส่แล้วใช้วัสดุคล้ายแท่งแก้วคนๆ  น้ำตาลหายไปในน้ำ ...



  • ท่านตั้งใจมาก จึงอยากให้เด็กได้ดังใจ  จึงเหมือนจะเร่งรีบไป จนเด็กไม่ได้ "เล่น" ต้องเข้มและเนี๊ยบ 
  • ท่านจริงจังมาก จึง อยากจะให้เด็กๆ ได้รู้ว่า น้ำตาลหายไปไหน น้ำตาลละลายในน้ำ น้ำตาลไม่ละลายในน้ำมัน ....  ท่านเฉลยไวไปนิดครับ ... 
  • แต่ที่แปลกคือ แม้ท่านจะเสียงดังเหมือนดุ แต่ เด็กๆ เหมือนไม่ได้กลัวคุณครูคนนี้เลยครับ ยังคงสนุกสนานได้เหมือนเดิม  
จุดเด่นของครูตุ๊กตาคือ ท่านเตรียมตัว ท่านเตรียมการทดลองเป็นส่วนๆ ทั้งที่ต้องการสาธิต และส่วนที่จะให้เด็กลงมือทำ อีกอย่างหนึ่งคือการตั้งปัญหา ตั้งปัญหาได้ดีมาก โดยเฉพาะการสอนไปหลายๆ วิชา ไปกับการทดลอง เช่น "น้ำตาลภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า....."  "สีผสมอาหารกินได้ไหม......"   ฯลฯ  เป็นการสอนแบบบูรณาการทั้งด้านวิชาการและด้านทักษะชีวิต 

การทดลองนี้ สาระอยู่ที่ทำให้เด็กเข้าใจ "การละลาย" 

ห้องอนุบาล ๓ เรื่อง "เมล็ดพืชเต้นระบำ"  ครูปุ๊ก

ครูปุ๊กเก็บเด็กได้เยี่ยมยอดมากครับ ไม่เชื่อลองดูคลิปด้านล่าง  ศน.ต้น ให้คอมเมนต์ว่า เทคนิคการซ่อนอุปกรณ์ไว้ก่อน แล้วพูดเกริ่นนำให้สนใจ.... ถึงเวลาแล้วค่อยเอาออกมา ทำให้ทั้งเด็กทั้งผู้มาเยี่ยมตื่นเต้นไปด้วย ส่วนผมชอบตรงที่ ครูปุ๊กออกแบบกิจกรรม ให้เด็กๆ ได้ลงมือทำเอง ตั้งแต่ยกโต๊ะมาเอง เปิดขวดน้ำเอง รวมทั้งเปิดขวดโซดาเอง... ครูปุ๊กบอกว่า สำหรับเด็กๆ ในชุมชนโพธิ์ศรี เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา ทำได้สบาย....

อุปกรณ์ของ "เมล็ดพืชเต้นระบำ" ครูปุ๊กเตรียมไว้ให้ครบทุกกลุ่ม ดังนี้ครับ  ขวดน้ำเปล่า ขวดโหลแก้วมีฝาปิด ช้อน  โซดา เมล็ดถั่วเขียว ลูกโป่ง ผ้าเช็ดโต๊ะ ที่เปิดขวด


วิธีการของครูปุ๊ก เริ่มหลังจากเด็กสนใจและใคร่อย่างเห็นอย่างทำเต็มที่ กระบวนการของครูปุ๊กเป็นแบบ "นำทำ" คือให้เด็กๆ ทำที่ละขั้นตอนไปพร้อมๆ กัน แล้วสังเกตเรียนรู้โดยใช้คำถามของครูทุกขั้นตอน   

  • ตัวแทนกลุ่มใช้ช้อรตักเมล็ดถั่วเขียวเทใส่ในแก้วน้ำเปล่า ... สังเกต....  ถั่วจมหรือลอย?....
  • เปิดขวดโซดา แล้วเทใส่ในขวดโหลแก้วประมาณครึ่งขวด 
  • ลองตักเมล็ดถั่วเขียวลงในขวดโหลแก้วที่เปิดโซดาเทใส่ไว้แล้ว ....เมล็ดพืชเต้นระบำ...ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?...
  • ทุกกลุ่มเอาลูกโป่งปิดปากขวดโซดา ... สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น ...
สาระสำคัญของการทดลองนี้คือ
  • น้ำกับโซดาต่างกัน แม้จะดูด้วยตาไม่เห็นว่าต่างกัน สิ่งที่ต่างกันคือ โซดา คือ น้ำอัดก๊าซ (น้ำ H2O + ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 = กรดคาร์บอนิก) ... ซึ่งการทดลองนี้จะพิสูจน์ให้เด็กๆ เห็น 
  • การเปิดขวดโซดา ทำให้ก๊าซ (คาร์บอนได้ออกไซด์)ที่ละลายอยู่ในน้ำ คลายออกมา   
  • ทำไมโซดาจึงต้องใช้ขวดแก้ว? ใช้ขวดพลาสติกเหมือนน้ำได้ไหม?.... ไม่ได้ เพราะในโซดามี "แรงดัน" สูง  .... ครูสามารถแสดงให้เด็กๆ ดูได้ด้วยการเทน้ำตาลทรายใส่ขวดโซดาแล้วปิดปากขวดด้วยลูกโป่ง น้ำตาลจะช่วยเร่งให้เกิดการคายตัวของก๊าซเร็วขึ้น  ... หรือเปิดขวดโซดาให้มีเสียง...โป๊กซซ.....  แต่ต้องระวังความปลอดภัยนะครับ ....
  • ทำให้เด็กน้อยรู้จักคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งประโยชน์และโทษ ... และรักต้นไม้ ....
ผมตีความว่า โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ให้ความสำคัญกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาก หัวเรื่องแรกๆ ของโครงการนี้คือ  คือ  อากาศ น้ำ แสงสีและการมองเห็น และคาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ ...  กิจกรรมนี้เป็นอีกหนึ่งปรากฎการณ์ ที่จะทำให้เด็กๆ รู้จักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยตนเอง




เราจบด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบบ PLC ที่มีสมาชิกทุกคนแสดงความเห็น และชื่นชมสิ่งดีๆ ที่เราได้ทำร่วมกันเพื่อเด็กๆ