วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๒๐ : ถอดบทเรียนตนเอง ครู BP จาก PLC มหาสารคาม (๔) "สุนทรียสนทนา"

กระบวนการถอดบทเรียนที่เราใช้แบ่งออกเป็น ๓ ขั้น ๔ ตอน ก่อนจะจัดตลาดนัดให้แลกเปลี่ยนช่วงสุดท้ายของการฝึกอบรม เริ่มตั้งแต่ "ขั้นมองตนเอง" "ขั้นมองงาน" ขั้นต่อมาคือการ "ขั้นมองกระบวนการของตนเอง"  บันทึกนี้คือขั้นที่ ๓ ตอนที่ ๔ ที่เรานำเอาผลสรุปทั้งหมดจากทั้ง ๓ ตอนแรก มาแลกเปลี่ยนกันด้วยกิจกรรม "สุนทรียสนทนา"

ขอเล่านอกเรื่องสักหน่อยครับ

วันก่อนไปกินส้มตำที่ร้านท้ายบ้าน (บ้านขามเรียง ทางจาก ม.ใหม่ ไป อ.เชียงยืน) ผมตั้งประเด็นถามน้องๆ ในทีม CADL ว่า "ฟรุ้งฟริ๊ง" แปลว่าอะไร ทำไมถึงได้ฮิตพูดคำนี้จัง... น้องๆ ช่วยกันอธิบาย จนได้ความหมายตามเว็บที่มาของฟรุ้งฟริ๊ง

วันนี้ผมอยากตั้งคำถามต่อไปอีกว่า "...ถ้าเราแบ่งระดับของความรู้สึกสุขออกเป็น ๔ ขั้น (ผมตีความตามความคิดความเห็นของตนนะครับ) ได้แก่
  • ความสุขเพราะสนุก (เพราะมันกระตุกหัวใจ เช่น เพลงขอใจแลกเบอร์โทรที่นายกร้องไงครับ...ฮา) ...ต้นตอของความสุขตัวนี้คือ "โมหะ"
  • ความสุขเพราะสมใจ (เมื่ออยากได้อะไรแล้วสมปรารถนา)...ต้นตอของเจ้านี่คือ "โลภะ"  แต่ถ้าอยากได้แล้วไม่ได้ อาจจะกลายเป็น "โทสะ" นำทุกข์มาได้ 
  • ความสุขที่เกิดจากการเข้าถึง "ความดี" "ความงาม" หรือเรียกว่า "สุนทรียะ" ... ซึ่งผู้ที่มีสุนทรียะเท่านั้นที่จะเข้าใจใน "ความงาม" ... ความรู้สึกแบบนี้เกิดได้แม้ยังมี "มานะ" (อัตตา ตัวตน) และ "ทิฐิ" (ความเห็นของตน)
  • ความสุขที่เป็น "ปีติ" จากการบรรลุธรรมตามพระพุทธศาสนา เข้าถึง "ความจริง" (ของอริยสัจ) ในระดับต่างๆ
คำถามคือ "ฟรุ้งฟริ๊ง" อยู่ขั้นไหน ..... คงไม่มีใครตอบผิด หรือตอบถูก เพราะสิ่งนี้น่าจะรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น ....  หรือท่านว่าไงครับ...

สุนทรียสนทนา

หากจะเป็น "สนุทรียสนทนา" หรือการสนทนาอย่างมีสุนทรียะ สิ่งที่จะต้องเข้าถึงก็คือ "ความดี" และ "ความงาม" ของการสนทนา หลายคนเรียกเป็น "ภาษาลิเก" ว่า Saying & Listening by Heart กติกาง่ายๆ ของการคุยแบบนี้คือ ให้ฟังแบบชื่นชม ฟังแบบตั้งใจ ไม่คิดโต้แย้งตัดสิน การฟังแบบนี้ รู้จักกันดีในชื่อ "ฟังแบบลึกซึ้ง" หรือ Deep Listening

เราออกแบบกิจกรรมให้การสนทนาแบบสุนทรีย์นี้มีสมาชิกกลุ่มละ ๔ คน แต่ละคนได้ฝึกถอดบทเรียนทั้งของตนและของคนอื่นในบทบาทต่างๆ ดังนี้
  • คนที่ ๑ เล่าเรื่อง BP ของตน เล่าอย่างไรก็ได้ โดยมุ่งให้ทุกคนเข้าใจใน ๓ ส่วน คือ กระบวนทัศน์ (วิธีคิด) กระบวนการ (หลักการ+วิธีการ+ขั้นตอน) และผลลัพธ์ 
  • คนที่ ๒ ฟังแบบลึกซึ้ง เมื่อจบแล้วจึงตั้งคำถามถึงส่วนที่ยังไม่ใชัด หรือยังไม่เข้าใจ ให้เล่าละเอียดมากขึ้น 
  • คนที่ ๓ ฟังแบบลึกซึ้ง และจดบันทึก สิ่งโดดเด่น ประเด็นสำคัญๆ
  • คนที่ ๔ ฟังแบบลึกซึ้ง และวาดรูปโมเดลของเพื่อน ตามที่ตนเองเข้าใจ 

เมื่อคนแรกจบ ควรให้กลุ่มทำความสงบสัก ๓๐ วินาที ก่อนที่จะเวียนไปให้คนที่หนึ่งคนใหม่ ได้เล่าเรื่อง BP ของตนบ้าง  ... เมื่อเวียนจนครบ หมายถึง ทุกคนในกลุ่มได้ทำทุกบทบาท จึงให้ทุกคนนำกระดาษที่เขียนหรือวาดคืนให้ผู้เล่า เพื่อเอาไปประกอบการทำโมเดลและเขียนเรื่องเล่าต่อไป


 กิจกรรมนี้ บางทีเราก็ทำกลุ่มละ ๓ คน เพียงแต่รวมคนที่ ๒ และ ๓ เข้าด้วยกัน การแบ่งปันจะยิ่งมีประสิทธิภาพขึ้น เพราะมีเวลามากขึ้น  แม้จะได้ BP น้อยลง



ขอพักเรื่องดีที่อยากเล่าไว้ที่นี่สำหรับปีนี้นะครับ ปีหน้ามาว่าละเอียดไปถึง BP ของครูแต่ละคน ที่เป็นผลจากการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ "ถอดบทเรียน" ครั้งนี้

มีรูปดีๆ ทั้งหมด โหลดได้ที่นี่ครับ





ดาวน์โหลดรูปทั้งหมดได้ที่นี่

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๑๙ : ถอดบทเรียนตนเอง ครู BP จาก PLC มหาสารคาม (๓) "มองกระบวนการของตนเอง"

หลังจาก "มองตนเอง" "มองงาน" ขั้นต่อมาคือการ "มองกระบวนการของตนเอง" เป้าหมายคือ "ชง"ให้ครูสามารถบอกได้ว่า " How to " ของครูแต่ละท่านเป็นอย่างไร

เช่นเดิมครับ จะทำอะไรก็ตาม ต้องมีกิจกรรม "เตรียมภาชนะ" หรือเตรียมตัว ด้วยเครื่องมือช่วยพิจารณา ที่เราเรียกว่า "ภูเขาน้ำแข็ง"


กิจกรรมนี้ มุ่งช่วยให้ครูได้คิดพิจารณาเกี่ยวกับ BP ของตนเอง (ซึ่งได้หัวเรื่องแล้วจากการ "มองงาน") ให้ละเอียดมากขึ้น และเป็นกุญแจเปิดใจให้เปิดเผยสิ่งที่อยู่ภายในให้คนอื่นรู้วิธีการของแต่ละคน  ลงบนแต่ละพื้นที่
  • บริเวณยอดภูเขาน้ำแข็ง ให้เขียนถึงผลลัพธ์ที่ประจักษ์ต่อสายตาของผู้อื่น 
  • ส่วนสิ่งที่คนอื่นไม่ค่อยรู้หลายสิ่งอย่าง ให้เขียนลงบริเวณด้านล่างที่จมอยู่ในน้ำ 
  • คือนำเอา หัวเรื่อง BP มาขยายว่า ภูมิใจได้ประโยชน์ หรือ มีผลลัพธ์อย่างไรบ้าง  ส่วนด้านล่างก็เอา ทุนหรือปัจจัยที่ทำให้สำเร็จ มาเขียนให้มีรายละเอียดมากขึ้น 
ตัวอย่างผลการคิดอย่างไคร่ครวญ

อยากให้ท่านผู้อ่านที่จะนำกระบวนการนี้ไปใช้ ดูตัวอย่างของครูนิว (ครูสุภาพร เพ็งศรี) จากโรงเรียนเทศบาลศรีสวัสดิ์วิทยา


(ท่านเขียนชื่อตนเองไว้ข้างในนั้น เป็นความผิดของผมในฐานะกระบวนกรเอง ที่ไม่ได้บอกว่าห้ามเขียนชื่อตนเองตั้งแต่แรก ท่านเลยต้องระบายสีทึบดำ เพื่อให้ทดลองดูว่าใครจะจำท่านได้บ้าง) ในภาพจากกิจกรรม "มองตนเอง" เราเห็นคำว่า "เก่งมากค่ะ" ตัวโน๊ตดนตรี และหัวใจสีฟ้า แสดงครูนิวน่าจะยึดความรัก ความใส่ใจ และความผ่อนคลายหรือความสุขเป็นสำคัญในการปฏิสัมพันธ์กับเด็กๆ  หรือที่เราเรียกว่าจิตวิทยาเชิงบวก



เมื่อพิจารณาจาก "ภูเขาน้ำแข็ง"  คำว่า "ครูนิวน่าจะ" ไม่จำเป็นแล้ว เพราะเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราเข้าใจนั่นใช่แน่ สังเกตจาก
  • ผลลัพธ์คือ "เด็กมั่นใจ อยากเรียนกับเรา... เด็กอ่านได้" ... ผมตีความว่า ... ที่นักเรียนอ่านได้ เพราะเขามาเรียนอ่าน ฝึกอ่าน ที่มาเรียนเพราะเขาชอบเมื่อมาเรียนกับครูนิว เมื่อมาเรียนก็เขียนอ่านได้ เมื่อทำได้ จึงภูมิใจ เมื่อภูมิใจจึงมั่นใจในตนเอง
  • จิตวิทยาเชิงบวก ของครูนิว คือ ให้กำลังใจ ชมเชย เป็นกันเอง และให้รางวัล 
  • เคล็ดลับคือ ทำบ่อยๆ ชมเชยทันทีโดยเฉพาะพฤติกรรมดีๆ เรียกมาฝึกอ่านช่วงว่าง ฝึกเพิ่มเมื่อเด็กพร้อม 
  • หลักการของครูนิว คือ ใช้จิตวิทยาเชิงบวก วางตัวเป็นกลางกับเด็กทุกคน  ฝึกฝนบ่อยซ้ำย้ำทวน

เพียงตัวอย่างของครูนิวคนเดียวนี้ ท่านที่จะนำกระบวนการนี้ไป "ถอดบทเรียน" คงจะเข้าใจครับ สำหรับเพื่อนครูใน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคามที่มาอ่าน  ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ "เปลี่ยนจากภาพเป็นไฟล์" ซึ่งจะนำเสนอ BP ของครูทั้ง ๔๒ ท่านที่มาร่วมโครงการ (แต่ก็ขึ้นอยู่กับงานของแต่ละท่านที่ทำกันครับ) ต่อไปครับ

กิจกรรมการ "มองกระบวนการของตนเอง" ยังไม่จบครับ  กิจกรรม "ภูเขาน้ำแข็ง" เป็นเพียงการเตรียมตนเอง หรือ "เตรียมภาชนะ" เท่านั้น  กระถอดกระบวนการของตนเอง มาว่ากันบันทึกต่อไปครับ 


วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๑๘ : ถอดบทเรียนตนเอง ครู BP จาก PLC มหาสารคาม (๒) "มองงาน"



หลังจาก "มองตนเอง" แล้ว ขั้นตอนไปคือ "มองงาน" โดยให้วาดรูปตนเองนั่งกรรมฐาน ด้านล่าง แล้วเริ่มคิดอย่างใคร่ครวญใน ๔ ประเด็นตามลำดับ


รูปนี้สามารถเขียนได้โดยไม่ปากกาเลย  นั่นหมายถึง ผู้วาดรูปนี้จะเริ่มจากตรงไหนก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา ผมพยายามสื่อกับคุณครูว่า นี่เป็นวิธีการเตรียมตัว เตรียมพร้อม หรือผมใช้คำว่า "เตรียมภาชนะ" โดยการรวมสติและสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่กำลังจะทำ เป็นเหมือน "ทางเข้า" หรือฝรั่งมักเรียกว่า "Check in"

ตัวอย่างที่ ๑

ลองดูตัวอย่างของ รองฯ อ้อย โรงเรียนเทศบาลสามัคคีครับ ท่านสติ และสมาธิดีเยี่ยม เข้าใจ และให้คำตอบแบบตรงเป้าหมาย "เป๊ะ" ครับ 


  • แนวปฏิบัติที่ดี หรือ BP ของท่านคือ "การฝึกวอลเลย์บอลชายหาด"  
  • สิ่งสำคัญ (ทุน) ที่ต้องมี ไม่มีไม่ได้คือ ความรู้เรื่องวอลเลย์บอลชายหาด ต้องแบ่งเวลาเป็น ต้องมีอุปกรณ์และสนามฝึก ต้องเคารพกฎกติกา และที่สำคัญ ต้องมีความสามารถเฉพาะบุคคล (ท่านคงหมายถึงพรสวรรค์)
  • ปัจจัยแห่งความสำเร็จ คือ ต้องใจรัก มีระเบียบวินัย เลือกเข้าร่วมการแข่งขันเป็น ต้องมีผู้สนับสนุนที่ดี และที่สำคัญต้องมีความอดทน 
  • เคล็ดลับ ไม่มีอะไรมาก (แต่คงทำยากมาก) คือ ต้องวางแผนใช้แบบฝึกอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด
ชัดเจนมากๆ ครับ .... จากรูปท่านบอกความสำเร็จอย่างภูมิใจว่า นักเรียนได้รับรางวับชนะเลิศการแข่งขันกีฬา อปท. ทั้งระดับเขตและระดับภาค ตลอด ๙ ปีที่ผ่าน ....สุดยอด สุดยอด สุดยอดครับ

ตัวอย่างที่ ๒


สำหรับตัวอย่างของครูเต็ง หรืออาจารย์สุรียนต์ บูรพา BP ของท่านคือ "การสอนวรรณคดี"
  • มีหลักฐานเชิงประจักษ์ในรูป ชิ้นงาน/ผลงาน/หรือการนำเสนอของเด็กๆ นักเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องที่ท่านสอน และสามารถวิเคราะห์เรื่องได้ ... นี่คือสิ่งที่ทำให้ท่านภูมิใจ จนอยากบอกต่อ 
  • แต่ใครจะมาสอนแบบท่านได้ จะต้อง เป็นนักอ่าน รักภาษาไทย และมีทักษะการคิดวิเคราะห์ 
  • ปัจจัยที่ส่งผลว่า จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อยู่ที่ตัวคน ในที่นี้หมายถึง ตัวครู ตัวนักเรียน และสื่อที่ใช้ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป จะทำให้สำเร็จได้ยากขึ้น 
  • เคล็ดลับคือ ต้องสนุกสนาน "เข้าถึง" (ซึ้ง) และใชรูปแบบการสอนที่หลากหลาย (ไม่ใช่อ่านให้ฟังอย่างเดียว)

ตัวอย่างที่ ๓


เป็น BP  จากครูปุ๊ก โพธิศรี คือ การจัดการเรียนการสอนแบบ "เรียนปนเล่น" หรือ "เพลิน" หรือ Plearn มาจากคำว่า (Play+Learn)  ผมมีโอกาสเข้าไปนั่งฟังครูปุ๊กเล่าเรื่องให้ฟังด้วยครับ  เรื่องการสอนของครูปุ๊กนั้น ท่านใช้คำว่า "การสอนด้วยประสบการณ์ตรง" ท่านยกตัวอย่างเรื่อง การมอบหมายให้เด็กๆ ไปหาดักแด้ หรือลูกน้ำ แล้วนำมาเป็นสื่อในห้องเรียนอนุบาล ทุกๆ วัน เด็กๆจะช่วยกันสังเกตและอธิบายการเปลี่ยนแปลง จนกลายเป็นผีเสื้อ กลายเป็นยุง นักวิชาการเรียนการเรียนรู้แบบนี้ว่า การเรียนรู้แบบรู้จริง (Mastery Learning)... วิธีการของครูปุ๊กต้องถูกนำไปขยายผลให้กับครูอนุบาลทุกคนครับ... เทศบาลจะรุดหน้าแบบก้าวกระโดดทีเดียว

  • ท่านบอกว่า ครูต้องเป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ 
  • ปัจจัยของความสำเร็จคือ "ใจ" ทำด้วยใจ ทำอย่างใส่ใจ และตั้งใจ มีความอดทนและกระตือรือล้น 
  • เคล็ดลับคือ ให้ทำบ่อยๆ และทำจนเป็นกิจวัตรไปเลย....
ยังมีตัวอย่างอีกมากครับ ที่เขียนออกมาได้แบบนี้ .... สรุปคือ ครูทุกคนและผอ.ที่เข้าร่วม เรามีหัวเรื่อง BP แล้ว ๔๒ หัวเรื่องครับ ....

คำถามต่อไปคือ แต่ละ BP มีขั้นตอนการทำอย่างไร ... ไปต่อกันบันทึกหน้าครับ 

นี่ไงครับท่านรองฯ วัลลภ (รองนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองมหาสารคาม) ท่านอาจารย์ไสว (ศึกษานิเทศก์) "เรื่องดีที่อยากเล่า" .....


วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๑๗ : ถอดบทเรียนตนเอง ครู BP จาก PLC มหาสารคาม (๑) "มองตนเอง"

วันที่ ๑๒-๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ CADL สำนักศึกษาทั่วไป จัดค่ายฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียนค้นหาครูที่มีแนวปฏิบัติที่ได้ผล (Best Practice) ของครู BP จาก "PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม จำนวน ๓๕ ท่าน ผู้อำนวยการ ๒ ท่าน รอง ผอ. ๕ ท่าน รวม ๔๒ ท่าน (ดาวน์โหลดที่นี่และที่นี่)



เป้าประสงค์สำคัญคือ "การถอดบทเรียนตนเอง" ด้วย "เครื่องมือนำคิดด้วยภาพ" และกระบวนการจัดการความรู้ โดยแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอนหลัก ได้แก่ "มองตนเอง" "มองงาน" และ "มองกระบวนการที่สำเร็จ" วัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้ครูได้เตรียมตัวเอง ก่อนจะเล่าเรื่องแลกเปลี่ยน และเขียนสรุปเป็นเรื่องเล่าประสบการณ์ที่ได้ผลของตนเอง เรา AAR ว่า เราบรรลุเป้าประสงค์อย่างยอดเยี่ยม ได้แนวปฏิบัติ BP ในลักษณะ Model การสอน ของคุณครูทุกคน และกำลังใจที่เต็มเปี่ยมในการขับเคลื่อนต่อไป

มองตนเอง

การ "มองตนเอง" หมายถึง การเอาจิตใจที่ประกอบด้วยสติ และสมาธิ มาสังเกตพิจารณาตนเอง ด้วย "จิตใจที่ใคร่ครวญ" ถือเป็นเอกลักษณ์ด้านความสามารถของมนุษย์ ที่สัตว์ในภพภูมิอื่นอย่าง เดรัจฉาอสุรกาย เปรต หรือสัตว์นรก ไม่สามารถทำได้ นั่นคือ การมีสติ สัมปชัญญะ เรียนรู้และพัตนาตนเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด

เริ่มที่ให้คุณครูทุกคน "วาดรูปตนเอง"  อย่างอิสระด้วยสีชอร็คบนกระดาษ A3   ส่วนนี้นักจิตวิทยาเรียกว่า Self คือการมองตัวตนของตนเอง อาจแบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ
  • ตัวตนที่ตนมองเห็น (Self Concept)  
  • ตัวตนที่คนอื่นมองเห็น (Others perception)
  • ตัวตนที่แท้จริง (Real Self)
กิจกรรมวาดภาพตนเอง มุ่งให้ครูมองตนเองและแสดง ตัวตันที่ตนมองเห็น แล้วสื่อสารด้วยภาพตนเอง โดยใช้คำถามสำคัญเพื่อกระตุ้นให้ครูถ่ายทอด "ความคิด" ของตนเองลงบนกระดาษ "จะวาดอย่างไร เมื่อเพื่อนครูเห็นภาพที่ตนวาดแล้ว รู้เลยว่าใช่ ครูคนนี้แน่"



ภาพนี้ดูปุ๊ปรู้เลยว่า ท่านต้องเก่งเรื่องทำพานบายศรี เป็นเอกลักษณ์ที่ค่อนชัดมาก ดูแล้วรู้ทันทีว่า เป็นครูกนกพร เทศบาลบูรพา นั่นเอง


ครูแสดงเดือนน่าจะเป็นคนอารมณ์ดี และเด็กๆ คงมีความสุข สนุกมากๆ ที่ได้เรียนกับครูแสงเดือน  เหมือนเสียงหัวเราะจะไม่ขาดเลยชั่วโมงคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 


ดูภาพนี้รู้เลยว่า ครูมณี มีอุดมการณ์ความเป็นครูที่แรงกล้า แม้ว่าจะได้รับมอบหมายให้สอนหลายรายวิชา ทั้งคณิต ภาษาไทย  แต่ยังไงน่าจะสอนอีกว่า ศิลปะวาดรูปไงครับ... เพราะรูปลายเส้นสวยจริงๆ


ส่วนภาพนี้หากไม่รู้จักกันจริงๆ คงตอบได้ยากมาก แต่มีเพื่อนครูท่านหนึ่งตอบได้อย่างแม่นยำว่า คนนี้คือครูแสงจันทร์  เพียงเพราะเห็นรูปหัวใจกับต้นไม้ๆ สองสามต้น ... ผมตีความว่า ครูเทศบาลหลอมรวมครูจนรู้ใจกันดีมากแล้ว ... จะเหลือก็เพียง ทำให้เกิด PLC ด้วยการนำสิ่งดีๆ  มาแลกเปลี่ยนกัน 


 คนนี้ทุกคนรู้จักทันทีที่เห็น แม้จะเป็นเพียงภาพการ์ตูน  แต่ทุกคนรู้หลังจากดูรูปคอมพิวเตอร์ และ คำว่า "มีปัญหาปรึกษาผมครับ" ... นี่เป็นตัวอย่างของเอกลักษณ์ที่ชัดมาก ....  หากครูพัฒนาการเรียนการสอนด้วยตนเอง จะมีรูปแบบการสอนที่เป็นของตนเอง ที่ชัดเจนฉันนี้


รูปนี้ถ่ายทอดทั้งแนวคิด และรายละเอียดเยอะมาก คนที่ดูคงอยากรู้ว่า "...ทำอย่างไรนะ ต้องไปคุยด้วยหน่อย..."





ท่านรองอ้อย "เป๊ะ" มากครับ ตลอดงาน ขอบคุณท่านมากครับ

ดูรูปทั้งหมดได้ที่นี่ครับ 

บันทึกหน้ามาว่ากันเรื่อง "มองงาน" ครับ

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๑๖ : ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเทศบาลบ้านวิทย์น้อย (๗) "โครงงานระดับอนุบาล"

อ่านบันทึกที่ ๕ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๖ ที่นี่

ในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ "เทศบาลบ้านวิยท์น้อย" ที่ผ่านมา คำถามยอดฮิตที่หลายๆ คนถามคือ "....นี่ใช่โครงงานหรือไม่คะ...?" บันทึกนี้จะตอบแบบ "ฟันธง" เพื่อให้ท่านวางใจ ทิ้งความสงสัยนี้ไปแล้วลงมือทำก่อน แม้ต่อไปท่านอาจย้อนมาพบว่า คำตอบเหล่านี้นั้น "ใช่หรือไม่" สามารถตีความได้หลายทาง

ลักษณะสำคัญของโครงงาน

๑) เป้าหมายของการทำโครงงาน คือ "ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์"
๒) วิธีการทำโครงงาน คือ "วิธีการทางวิทยาศาสตร์" (ตั้งคำถาม คาดคะเนคำตอบ ตรวจสอบสมมติฐาน สรุปผลการทดลอง)
๓) ผู้ที่คิด-ทำ-นำเสนอโครงงาน ต้องเป็นผู้เรียน (ใครคิด คนนั้นได้ฝึกคิด คนนั้นเก่งคิด, ใครทำ คนนั้นได้ฝึกทำ คนนั้นมีทักษะการทำ, ใครนำเสนอ คนนั้นได้ "ฝึกนำเสนอ" คนนั้นจะยิ่งเข้าใจ มั่นใจ ไม่เก้อเขิน)
๔) การเรียนรู้ด้วยโครงงาน ต้องเน้น "กระบวนการ" มากกว่า "เนื้อหา" (ผลการทำโครงงาน ไม่มีคำว่า "ไม่สำเร็จ" เพราะผู้เรียนจะได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะกระบวนการเสมอ)
๕) การเรียนรู้ผ่านโครงงานคือการเรียนรู้อยู่กับตัวแปร (เป็นเรื่องของการ สังเกต ทดลอง แก้ปัญหา เพื่อหาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภายใต้ตัวแปรควบคุม)

 ความสามารถของผู้เรียนต่อการทำโครงงาน

๑) ตั้งปัญหาด้วยตนเองได้
๒) กำหนดตัวแปรต่างๆ ได้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม  ->  คาดคะเนคำตอบ หรือตั้งสมมติฐานเป็น
๓) ใช้เหตุ-ผลบนฐานความจริงได้ (มีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ คือ คิดเป็นเหตุเป็นผล)
๔) มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ (มีสติ สมาธิ และเชื่อมั่นในวิธีการทางวิทยาศาสตร์)

ข้อสังเกตช่วยพิจารณาว่า ใช่โครงงานหรือไม่ 

๑) โครงงานไม่ใช่ "กิจกรรม" ซึ่งทำไปเพื่อให้ได้ทำ หรือ ทำไปเพราะอยากได้สิ่งที่ต้องการ
๒) โครงงานพัฒนาการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือ "โครงงานที่มีการทดลอง" (เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ)
๓) โครงงานไม่ใช่ "สิ่งประดิษฐ์" ซึ่งหลายคนเรียกว่า "โครงงานสิ่งประดิษฐ์"  และโดยมาก "สิ่งประดิษฐ์" เหล่านั้นส่วนใหญ่  ไม่ได้ฝึกทักษะกระบวนการใด เพราะไม่ได้ทดลองใช้ ปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้น
๔) โครงงานไม่ใช่ "การสืบค้น สอบถาม" ตามที่หลายคนเข้าใจว่าเป็น "โครงงานสำรวจ"  ซึ่งไม่ได้มีกระบวนการ "ตรวจสอบ" ใดๆ ที่ต้องใช้ "การวิเคราะห์ สังเคราะห์ อภิปราย" หรือ "ขยายผล ต่อยอด"...

ข้อสังเกตเพิ่มเติมเพื่อให้ง่ายและทำโครงงานได้ด้วยตนเอง

๑) ตัวแปรต้น คือ "เหตุ" ตัวแปรตาม คือ "ผล"  (เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนี้เปลี่ยน สิ่งนั้นจริงเปลี่ยน .....ฯลฯ   สิ่งนี้=ตัวแปรต้น  สิ่งนั้น=ตัวแปรตาม) ตัวแปรควบคุม คือสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องแต่ต้องทำให้ "คงที่"
๒) วิธีการคือ เปลี่ยนปริมาณหรือขนาดของ "ตัวแปรต้น" แล้วมุ่งความสนใจโดยใช้การวัด "ตัวแปรตาม" ด้วยวิธีที่เหมาะสม
๓) ในแต่ละการทดลอง ต้องมี "ตัวแปรต้น" เพียงตัวแปรเดียวเท่านั้น
๔) วิธีตั้งชื่อโครงงานแบบหนึ่งที่ใช้ได้ คือ " ผลของ...ตัวแปรต้น....ต่อ....ตัวแปรตาม... (ในสภาวการณ์ของ .....ตัวแปรควบคุม...(ถ้ามี))" เช่น
  • ผลของ จำนวนขดลวด ต่อ จำนวนของลวดหนีบกระดาษที่ดูดติด 
  • ผลของ จำนวนก้อนของถ่ายไฟฉาย ต่อ จำนวนตะปูเข็มที่ดูดติดได้  
  • ผลของ ขนาดตะปูที่ใช้เป็นแกนแม่เหล็กไฟฟ้า ต่อ ระยะห่างที่ไกลที่สุดที่เข็มหมุดเริ่มถูกดูด
เมื่อผู้เรียนมีองค์ความรู้และทักษะมากขึ้น จะสามารถนิยามและตีความตัวแปรต่างๆ ให้เป็นปริมาณทางวิทยาศาสตร์ได้ เช่น หัวข้อเรื่องทั้ง ๓ เรื่องนี้ ได้เป็น
  • ผลของ จำนวนขดลวด ต่อ ความเรงของแม่เหล็ก 
  • ผลของ กระแสไฟฟ้า ต่อ ความแรงของแม่เหล็ก 
  • ผลของ พื้นที่หน้าตัดของแกนแม่เหล็กไฟฟ้า ต่อ ความแรงของแม่เหล็ก 

สรุป
  • จะ "ใช่ หรือ ไม่ใช่ โครงงาน" ขึ้นอยู่กับว่า ผู้เรียน "ได้ หรือ ไม่ได้" ฝึกฝนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือไม่...
  • การเรียนรู้ที่ดีที่สุดต่อการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์คือ "การสอนด้วยโครงงาน" หรือ Project-base Learning (PBL)
  • โครงงานเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ "โครงงานทดลอง" เพราะผู้เรียนได้ลงมือทำจริง โดยเฉพาะโครงการแก้ปัญหา หรือเรียกว่า การเรียนรู้ด้วยการแก้ปัญหา หรือ Problem-based Learning (PBL)
เสนอแนะ
  • "ปัญหา"ที่ดีเท่านั้นที่จะสร้างแรงบันดาลใจ และความท้าทายให้ใฝ่เรียน ซึ่งจะส่งผลให้ "เรียนด้วยความสุข สนุกที่ได้เรียน" 
  • "ปัญหา" ที่ดีที่สุด คือ ปัญหาจริงๆ ในชีวิต ปรากฎการณ์จริงๆ ที่เกิดในธรรมชาติ 
  • ดังนั้น การฝึกให้นักเรียน "ตั้งคำถาม" จึงไม่ใช่การฝึกให้นักเรียน "คิดตั้งคำถาม" หรือ "ตั้งคำถามตามความคิด" หากแต่เป็นการสร้างสิ่งแวดล้อม โอกาส และกิจกรรม ที่จะทำให้เด็ก "สังเกตเห็น และสงสัย" ซึ่งจะนำไปสู่ "การตั้งคำถามตามความเป็นจริง" ด้วยตนเอง

แท้จริงแล้วการสอน "โครงงาน" ก็คือการปลูกบำรุง "ต้นกล้า" หรือ "หน่ออ่อน" ของการสอน "วิจัย" นั่นเองครับ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น "โครงงานระดับอนุบาล" หรือ "การวิจัยของศาสตราจารย์" ก็ใช้ "ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์" เช่นเดียวกัน แตกต่างกันก็เพียงความเชี่ยวชาญชำนาญของการสังเกตทดลอง และสิ่งของเครื่องมือที่ใช้เท่านั้นเอง....
 
ขอบจบบันทึก ๗ ตอน สำหรับครูเทศบาลบ้านวิทย์น้อย ไว้เท่านี้ครับ มีสิ่งใดสอบถามได้ทาง Line- 0815499870 สะดวกสุดครับ


ขอบคุณ ผศ.ดร.กฤษกร ปาสาใน วิทยากรหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงครับ



วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๑๕ : ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเทศบาลบ้านวิทย์น้อย (๖) "แม่เหล็กสามารถขยายพันธุ์ได้หรือไม่?"

อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๒ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๓ ที่นี่

อ่านบันทึกที่ ๔ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๕ ที่นี่

ถ้ามีเด็กอนุบาลถามว่า "คุณครูขา...แม่เหล็กขยายพันธุ์ได้ไหมคะ" ....ท่านจะตอบอย่างไร .... ใช่ครับ วิธีที่ดีคือไม่ตอบ... แต่ "ชวน" ให้เด็กมาทดลองหาคำตอบกัน...

เราสามารถทำ "สารแม่เหล็ก" (ในอุณหภูมิห้อง มีเพียงสามธาตุคือ เหล็ก นิเกิล และโคบอลท์ ) กลายเป็น "แม่เหล็ก" ได้ ๒ วิธี ได้แก่ ๑) การเหนี่ยวนำด้วยแม่เหล็ก และ ๒) เหนี่ยวนำด้วยไฟฟ้าซึ่งจะได้แม่เหล็กที่เราเรียกว่า "แม่เหล็กไฟฟ้า" 

วิธีแรกคือ ชวนให้เอาแท่งเหล็ก เช่น ตะปู มาถูกับแม่เหล็กถาวร (ถูไป-กลับในทิศทางตรง) แล้วนำไปทดลองดูดกับสารแม่เหล็กขนาดเล็กเช่น ตะปูเข็ม หรือลวดหนีบกระดาษ จะพบว่าแท่งกลายเป็นแม่เหล็ก


วิธีที่สองคือนำเอาขดลวดพันรอบๆ แท่งเหล็กหลายๆ รอบ แล้วต่อวงจรปล่อยกระแสไฟฟ้า ให้ไหลผ่านขดลวด แท่งเหล็กจะกลายเป็นแม่เหล็ก  โดยจัดอุปกรณ์ดังรูป


จากเดิมที่แท่งเหล็กนั้นเป็นเพียงสารแม่เหล็ก ไม่ใช่แม่เหล็ก หรืออาจเรียกว่า "ลูก" แต่เมื่อนำไปถูกับแม่เหล็กแล้ว "ลูก" กลายเป็น "แม่เหล็ก" .... นี่อาจเรียกว่าขยายพันธ์ุได้หรือไม่?....

ผมคิดว่าเด็กๆ อาจจะไม่รู้จักการขยายพันธุ์ ดังนั้น ผมเสนอว่าไม่ควรที่จะบอกว่าเด็กๆ ว่า ทั้งสองวิธีนี้ไม่ใช่การขยายพันธุ์ แม่เหล็กไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ แต่สามารถกลายเป็นแม่เหล็กได้เมื่อถูก "เหนี่ยวนำ" .... แบบนี้แม้เด็กจะจำไม่ได้ ... แต่ต่อไปเมื่อโตขึ้น อาจจะเรียนได้ไว เข้าใจได้ลึกครับ ...



สำคัญที่สุดคือ การสร้างแรงบันดาลใจและเจตคติในการเรียนรู้ให้กับเด็ก รองลงมาคือการออกแบบกระบวนการให้เด็กได้ฝึก "ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์" ในที่นี้คือ กระบวนการ ๖ ขั้น ของเทศบาลบ้านวิทย์น้อย ....  ดังนั้น ท่านอาจารย์ต้องออกแบบกิจกรรมและทำตามขั้นตอนคล้ายๆ กับบันทึกที่ผ่านมานะครับ ....


ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๑๔ : ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเทศบาลบ้านวิทย์น้อย (๕) "แม่เหล็กดึงดูดของได้โดยไม่ต้องสัมผัส"

อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๒ ที่นี่

อ่านบันทึกที่ ๓ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๔ ที่นี่

สาระสำคัญประการหนึ่ง ที่อยากให้เด็กอนุบาลสามารถสังเกตได้เอง คือ "แม่เหล็กดึงดูดสิ่งของได้โดยไม่ต้องสัมผัส" กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องนี้ ควรเน้น "กระบวนการ" มากกว่า "เนื้อหา" เช่นเดิม  เริ่มที่ตั้งคำถามว่า "ระยะห่างเท่าใดที่แม่เหล็กยังสามารถดูดติดได้"....แล้วปล่อยให้เด็กๆ เรียนรู้อย่างอิสระ ค้นคว้าวิธีด้วยตนเอง... ก่อนเปิดโอกาสให้อาสาสมัครเสนอคำตอบของตนเอง...(ไม่มีใครเสนอคำตอบ..ไม่เป็นไรครับ เริ่มกิจกรรมต่อไปได้เลย...)

  • หลังจากปล่อยให้เด็กๆ ค้นหาวิธีของตนเองเพื่อหาคำตอบอย่างอิสระแล้ว เปิดโอกาสได้ตั้งคำถาม หรือถามครูในสิ่งต่างๆ ที่สงสัย ... ยังไม่ต้องตอบคำถามใดๆ เพียงแต่เขียนรวบรวมคำถามไว้หน้ากระดาน (ถ้าสะดวก)... จุดประสงค์คือ ฝึกให้ได้นักเรียนตั้งคำถามและได้ "กล้าถาม" ในสิ่งที่ตนเองสงสัย .... ก่อนที่ครูจะสรุปคำถามหลักว่า "แม่เหล็กดึงดูดวัสดุใดจากระยะไกลที่สุด?" โดยครูอาจกำหนด (หรือเตรียม) วัสดุต่างๆ ที่เด็กๆ รู้จักไว้ ๓-๕ ชนิด เช่น ลวดหนีบกระดาษ ตะปูเข็ม เหรียญบาท เป็นต้น

  • ทวนคำถามว่า "แม่เหล็กดึงดูดวัสดุใดจากระยะที่ไกลที่สุด?"  และสื่อความหมายด้วยวิธีที่เหมาะสมสำหรับเด็กอนุบาล ให้เข้าใจคำถามคืออะไร... ก่อนจะให้ทุกคนคาดคะเนคำตอบของตนเองและของกลุ่ม ... ขั้นตอนนี้คือการฝึกให้นักเรียนตั้งสมมติฐานนั่นเองครับ 
  • เปิดโอกาส (กำหนดเวลา) ให้เด็กๆ (หาวิธี)ตรวจสอบคำตอบ(สมมติฐาน) ของตนเอง อาจใช้เกมจับเวลาเพื่อกระตุ้นการแข่งขัน...แล้วแต่ท่านอาจารย์ครับ 
  • สร้างกิจกรรมหรือตั้งคำถามเพื่อให้เด็กๆ ได้ฝึก สังเกตและ(พูด)อธิบายเหตุการณ์การดึงดูดแม่เหล็กของวัสดุแต่ละชนิด เช่น ตั้งคำถามว่าเด็กรู้ได้อย่างไรว่า แม่เหล็กดูดวัสดุนั้นได้ไกลที่สุด ทำการทดลองอย่างไร (ให้ฝึกอธิบาย)
  • ตั้งคำถามต่อว่า "เรารู้ได้อย่างไรว่าแม่เหล็กดึงดูดวัสดุหนึ่งจากระยะที่ไกลกว่าดึงดูวัสดุอีกสิ่งหนึ่ง" หรือ "ระยะห่างระหว่างแม่เหล็กกับวัสดุเป็นเท่าใดก่อนจะถูกดึงดูด" .... ขั้นตอนนี้เราจะพยายามหาวิธีให้เด็กๆ คิดหาทางนำเสนอข้อมูลของตนด้วยวิธีของตนเอง  ... ตอนท้ายให้ครูแนะนำวิธีการใช้ไม้บรรทัดวัดดู... และให้บันทึกเป็นตัวเลข (ในกรณีที่เด็กสามารถเขียนเลขได้แล้ว)
  •  ขั้นสุดท้าย ตั้งคำถามให้เด็กๆ คิดหาเหตุผลว่า "ทำไม" ผลการทดลองของตนๆ จึงเป็นเช่นนั้น และตั้งคำถาม เพื่อให้เด็กคิดหาความสัมพันธ์ระหว่าง "ระยะห่างก่อนถูกดึงดูด" กับตัวแปรอื่นๆ เช่น น้ำหนัก วัสดุ รูปร่าง เป็นต้น  .... ก่อนจะสรุปว่าตามสมมติฐานของเด็กๆ ว่าถูกหรือไม่ .... สุดท้ายต้องไม่ลืมให้เด็กๆ ช่วยกันสรุปว่า ได้เรียนรู้อะไร จากวันนี้บ้าง  อะไรที่อยากรู้ยังมีอยู่หรือไม่...

โดยใช้กระบวนการ ๖ ขั้นตอนนี้ ท่านอาจารย์สามารถออกแบบคำถาม และกิจกรรมเพื่อให้เด็กๆ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ว่า
  • แม่เหล็กสามารถดึงดูดสิ่งของได้แม้มีวัสดุอื่นมาขวางกัน
  • แม่เหล็กสองอันไม่ดึงดูดกันเท่านั้น แต่ยังผลักกันได้ด้วย
ฝึกทำกิจกรรมที่ครูออกแบบนี้ไปสักระยะ เด็กๆ จะคุ้นเคยกับกระบวนการ "นักวิจัยน้อย" นี้ มีทักษะการสังเกต ตั้งคำถาม คะเนคำตอบ ตรวจสอบผล สังเกตรายละเอียด อธิบายเหตุการณ์ และอภิปรายสรุปผลเป็น

เมื่อนั้นๆ เด็กๆ ก็น่าจะพร้อมแล้วสำหรับการเรียนรู้เรื่อง "โครงงานทดลอง"....

มาว่ากันต่อบันทึกหน้าครับ

๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔






วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๑๓ : ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเทศบาลบ้านวิทย์น้อย (๔) "แม่เหล็กดูดอะไรได้บ้าง"

อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่

อ่านบันทึกที่ ๒ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๓ ที่นี่

การทดลองบ้านวิทยาศาสตร์น้อยเรื่อง "แม่เหล็ก" มีใบกิจกรรมทั้งหมด ๔ ใบ (คลิกเพื่อดาวน์โหลด)   ใบแรกอธิบายกระบวนการและขั้นตอนการสอนในภาพรวมเรื่อง "แม่เหล็ก" สำหรับเด็กอนุบาล เป็นเหมือนคู่มือครู ส่วนอีก ๓ ใบ เป็นใบกิจกรรม ที่นำเด็กๆ ทำการทดลองเพื่อหาคำตอบของ ๓ ปัญหา ได้แก่
  • แม่เหล็กสามารถดึงดูดสิ่งของต่างๆ ได้ 
  • แม่เหล็กสามารถดูดติดวัสดุบางอย่างเท่านั้น
  • แม่เหล็กสามารถดึงดูดสิ่งของโดยไม่ต้องสัมผัส
  • แม่เหล็กสามารถดึงดูดสิ่งของได้แม้มีวัสดุอื่นมาขวางกัน 
  • แม่เหล็กสองอันไม่ดึงดูดกันเท่านั้น แต่ยังผลักกันได้ด้วย
ในการเตรียมวัสดุอุปกรณ์สำหรับการฝึกอบรม สิ่งที่ผมคำนึงถึงมาก คือ การจัดซื้อหรือจัดหาอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการทดลองต้องง่าย ราคาถูก และหาซื้อได้ไม่ยากไม่ไกลจากโรงเรียน ถ้าท่านอยู่สารคาม สามารถไปซื้อชุดเรียนวิทยาศาสตร์แม่เหล็ก (Science Magnet Set) ได้ที่ร้านศึกษาภัณฑ์ (ตรงหน้าป้ายฯ จาก มรภ.) ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ เช่น สายไฟ ตะปูขนาดต่างๆ รางถ่าน รวมทั้งถ่านไฟฟ้า สามารถซื้อได้ที่ร้าน อ.อุปกรณ์

แม่เหล็กสามารถดึงดูดสิ่งต่างๆ ได้ 

  • เริ่มจากการปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้อย่างอิสระ หรือที่เรามักเรียนกว่า "เรียนเล่น" ศาสตราจารย์ชัยอนันต์ สมุทรวนิช "เพลิน" มาจาก Play + Learn  = Plearn โดยการมอบวัสดุอุปกรณ์ที่มีให้เด็กๆ เล่นตามใจชอบ ได้แก่ แม่เหล็กรูปทรงต่างๆ และวัสดุที่เด็กรู้จักว่าคืออะไรทั้งที่ดูดและไม่ดูดกับแม่เหล็ก เช่น ตะปู ลวดหนีบกระดาษ ช้อนสแตนเลต ช้อนเงิน สายไฟฟ้า (ทองแดง) กระดาษ แท่งไม้ ของเล่น ฯลฯ 
  • "ชวน" ให้เด็กๆ บอกว่า สังเกตเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วหนุนให้ฝึก ตั้งคำถามต่างๆ  ครูเขียนคำถามต่างๆ ไว้บนหน้ากระดาน (แม้ว่าครูจะรู้ว่าเด็กอ่านไม่ออก แต่เด็กๆ บางคนอาจกำลังอยากอ่านออก)  ก่อนที่จะครูจะตั้งคำถามว่า "แม่เหล็กสามารถดูดสิ่งต่างๆ อะไรได้บ้าง"
  • "ชง" (หมายถึง "ชง" ด้วยการบอกออกคำสั่ง) ให้เด็กแบ่งประเภทสิ่งของที่มอบให้ออกเป็นกองๆ ด้วยวิธี(เหตุผล) ของตนเอง  .... เด็กบางกลุ่มอาจแบ่งเป็นกองที่ดูดและกองที่ไม่ดูด ... อาจมีบางกลุ่มแบ่งออกเป็น ๓ กอง ... ที่สำคัญต้องให้เด็กได้แสดงความคิด(เหตุผล) ของตนเอง ....
  • ครูยกตัวอย่างวัสดุอีก ๒-๓ อย่างนอกเหนือจากที่มอบให้นักเรียน "เพลิน" อย่างอิสระ  แล้วตั้งคำถามว่า แม่เหล็กจะดูดติดแม่เหล็กเหล่านี้หรือไม่?...  ให้เด็กๆ แสดงคำตอบของตนด้วยการยกมือสำรวจ... ครูชี้ให้เห็นว่า ... นี่คือการรวบรวมความคิดและคาดคะเนคำตอบ หรือเรียกว่าสมมติฐาน นั่นเอง 

  • มอบวัสดุเหล่านั้นให้เด็กๆ ได้ทดลองดูว่าดูดติดกับแม่เหล็กหรือไม่ ... นี่คือการทดลองตรวจสอบสมมติฐาน 

  • ให้เด็กๆ สังเกตและอธิบายว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อนำแม่เหล็กเข้าใกล้กับวัสดุเหล่านั้น ... ขั้นตอนนี้เน้นที่การเปิดโอกาสให้เด็กได้ สังเกต-> คิด-> พูดนำเสนอ เบื้องต้น
  • ให้นักเรียนวาดรูปหรือระบายสีแม่เหล็กและสิ่งต่างๆ ที่ดูดติดกับแม่เหล็ก ... การวาดภาพและระบายสีนอกจากจะดีต่อจินตนาการและสมองด้านขวาของเด็กแล้ว การใช้กระบวนการนี้มาใช้ เด็กๆ จะได้สะท้อนความรู้ (ความรู้เกิดเองในตัวเด็ก) เป็นเหมือนการ "ซ้ำทวน" หรือสิ่งที่ได้เรียนรู้อีกครั้งนั่นเอง
  •  ขั้นสุดท้ายคือให้อภิปรายและสรุปผล  การอภิปรายเป็นการฝึกให้เด็กๆ ตั้งข้อสังเกตหาความสัมพันธ์ระหว่างอะไรกับอะไร (ตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม) (พร้อมให้เหตุผลถ้าเป็นไปได้) เช่น เด็กๆ อาจจะบอกว่า แม่เหล็กยิ่งก้อนใหญ่ยิ่งดูดติดลวดได้เยอะ แม่เหล็กสีเงินดูดได้มากกว่าแม่เหล็กสีดำ แม่เหล็กดูดติดสิ่งของบางอย่างเท่านั้น  ฯลฯ  ส่วนการสรุปผล ให้มองไปยังสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่า จริงหรือไม่จริง ... อย่างไรก็ตาม เราควรให้เด็กๆ ช่วยกันสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้  เด็กๆ จะพูดอะไร ให้ครูคอย "จับคำ" แล้ว "นำมาชม" ให้ได้ .... 

สุดท้ายเราต้องย้ำกับตนเองว่า เป้าหมายของเรา ไม่ใช่ให้เด็กเรียนรู้จดจำเนื้อหาว่า แม่เหล็กสามารถดูดอะไรได้บ้าง ดูดอะไรไม่ได้ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ทุกคน ได้ฝึก "ทักษะกระบวนการทางวิทยาศษสตร์" อย่างสนุกสนาน มีอิสระ ดังนั้นๆ ไม่ควรเร่งกิจกรรมหรือเร่งสรุป แต่ให้ค่อยเป็นค่อยไป ... รอ อดทน รอ....

....เมื่อไหร่เด็กเริ่มตั้งคำถาม นั่นเหมายถึงความสำเร็จของเราครับ...



วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขับเคลื่อน PLC เทศบาลเมืองมหาสารคาม _๑๒ : ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเทศบาลบ้านวิทย์น้อย (๓) "อะไรคือโครงงาน อะไรที่ไม่ใช่โครงงาน"

อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๒ ที่นี่

วิทยากรร่วมคราวนี้คือ ผศ.ดร.กฤษกร ปาสาใน  เป็นเด็กหนุ่มอนาคตศาสตราจารย์ ที่ครั้งหนึ่งเคยผ่านการเรียนวิชาด้านการศึกษาตอนที่เป็นนิสิตในโครงการ สควค.  ประสบการณ์นี้น่าจะมีส่วนต่อความสามารถในการถ่ายทอดและนำเสนอต่อคุณครูได้อย่างดียิ่ง แม้ผมเองก็ได้เรียนรู้มากทีเดียวกับวิธีการนำเสนอแบบ "ฟันธง" เพื่อมุ่งให้ง่ายแลชัดเจน เห็นว่าอะไร "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ...



บันทึกนี้ขอนำสไลน์ ที่ อ.กฤษกร ใช้ในการบรรยายเรื่อง โครงงานวิทยาศาสตร์ มาวางไว้ทั้งหมด  ก่อนจะเน้นย้ำประเด็นสำคัญๆ ในตอนท้าย ซึ่งจะทำให้ "การทำโครงงาน" ง่ายขึ้น














 (ขอแก้คำผิดนิดหน่อยครับ มูลสัตย์ เป็น มูลสัตว์)












ความจริงก็แทบจะไม่ต้องสรุปอะไรเลยครับ ตัวหนังสือสีแดง... ท่านที่มาฝึกอรมในวันนั้นคงจะจำกันได้ทุกคนครับ

  • โครงงานที่เหมาะสมต่อการพัฒนาการเรียนรู้ โดยเพราะ "ทักษะกระบวนการด้านวิทยาศาสตร์" คือ โครงงานทดลอง ที่มีการ ตั้งคำถาม ตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ตรวจสอบสมมติฐาน และอภิปรายสรุปผล 
  • ตัวแปรต้นคือ ตัวแปรที่เราอย่างเปลี่ยนแปลงเพื่อทดลองดู แลสังเกตว่า ตัวแปรตาม จะเป็นอย่างไร 
  • ๑ โครงงาน ต้องมีเพียง ๑ ตัวแปร ต้นเท่านั้น .... อย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวแปรตาม ต้องพยายามควบคุมให้เหมือนกัน ... เรียกว่า ตัวแปรควบคุม
  • วิธีการตั้งชื่อโครงงานง่ายๆ คือ "ผลของ.....(ตัวแปรต้น).....ต่อการเปลี่ยนแปลงของ.....(ตัวแปรตาม).."
  •  โครงงานที่ดีควรเริ่มจากปัญหาจริงๆ ง่ายๆ ใกล้ตัวเด็กๆ .... ไม่ใช่ปัญหาในความคิดประเภท "คิดอยาก"
"สรุปอะไรใช่หรือไม่ใช่โครงงาน"

โครงงานไม่ใช่เพียง "กิจกรรม" แต่เป็น "กระบวนการเรียนรู้" ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์